ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
เมื่อพูดถึงแผ่นดินก็ต้องพูดถึงประชากรที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินนั้นด้วยประกอบกัน เพราะบนโลกใบนี้คงมีแผ่นดินเพียงน้อยนิดที่จะไม่มีประชาชนอาศัยอยู่เลย หรือมิได้รวมเข้าเป็นดินแดนของรัฐชาติใดๆในยุคต่อๆมา
ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงแผ่นดินปาเลสไตน์ ก็ต้องมาสร้างความเข้าใจถึงอาณาเขตโดยประมาณของแผ่นดินนี้
ปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำจอร์แดน ชื่อปาเลสไตน์นั้นมาจากคำ Philistine หมายถึงชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางใต้ ซึ่งจักรวรรดิโรมันตั้งขึ้น แต่ในอดีตอาจรวมพื้นที่บางส่วนของเลบานอน เช่น เบรุต และบางส่วนของซีเรีย มีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 27,009 ตร.กม.
หากย้อนกลับไปถึงชนเผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณนี้จะพบว่าเมื่อย้อนหลังไปประมาณ 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล มีประชากรอาศัยอยู่เป็นชุมชนเกษตรปลูกพืชแบบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น องุ่น มะกอก มะเดื่อ และได้แปรรูปเป็นเหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก และผลมะเดื่อแห้งออกขาย ซึ่งมีกิ่งก้านสาขาในการขยายตัวทางการค้าโดยชาวฟินิเซียนในระยะต่อมา
แผ่นดินปาเลสไตน์ มีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านแปลงเมืองมาตลอดช่วง 7,000 ปี ไม่ว่าจะเป็นชนชาติกันอาน เซไมท์ ที่เป็นต้นตระกูลของชนเผ่าอาหรับ ฮิบบรู และชาวปาเลสไตน์ และยังอาจมีบางส่วนของชาวฮิทไทด์ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตในยุคฟาโรห์ของอียิปต์ จนเกิดการรบพุ่งกันโดยในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่ออิยิปต์ในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 และอาณาจักรล่มสลายสูญสิ้นชาตินับแต่บัดนั้น
อย่างไรก็ตามดินแดนแถบนี้เคยถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลเนียน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน และออตโตมัน(ตุรกี)
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าดินแดนปาเลสไตน์ต้องเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีแม่น้ำลิตานีทางเหนือ แม่น้ำจอร์แดน ทางตะวันออก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุครุ่งเรืองของอิสลาม ตลอดจนถึงยุคของจักรวรรดิออตโตมาน
แม้งานโบราณคดีท้องถิ่นจะให้ความสำคัญกับมรดกของชาวโรมันและชาวยิว แต่ก็ยังมีมรดกทางวัฒนธรรมในสมัยราชวงศ์เมมลุคและเชลจุคที่ปกครองดินแดนแถบนั้นในสมัยกลางที่ยังไม่ได้รับการขุดค้นมากนัก
มีงานวิจัยของนักประชากรศาสตร์ เช่น เดวิด กรอสแมน อัมนน โคเฮน และโจชัว เบนอารีเอห์ ที่แสดงว่าดินแดนแถบนี้เป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรือง แทนที่จะเป็นทะเลทรายดังที่ลัทธิยิวไซออนิสต์ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นทะเลทรายและไร้ผู้คนอยู่อาศัย ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ทั้งเป็นสังคมเมือง และสังคมชนบทที่ทำเกษตรกรรม
ศาสตราจารย์ เอียน แปปเป้ ชาวยิว ได้โต้แย้งด้วยงานวิจัยและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ปาเลสไตน์ในยุคออตโตมันเป็นสังคมเฉกเช่นเดียวกับสังคมอาหรับอื่นๆที่อยู่รายรอบ ไม่ได้ต่างจากดินแดนเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกโดยรวม ชาวปาเลสไตน์แทนที่จะถูกปิดล้อมและโดดเดี่ยวกลับเป็นกลุ่มคน ที่พร้อมจะติดต่อกับวัฒนธรรมอื่นๆ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันรอบนอก
และประการต่อมาปาเลสไตน์เปิดรับความเปลี่ยนแปลงและความทันสมัย โดยเริ่มพัฒนาในฐานะรัฐชาติมาเป็นเวลานาน ก่อนที่ขบวนการยิวไซออนิสต์จะมาถึง ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองท้องถิ่นที่กระตือรือล้นอย่างฎาฮีร อัลอุมัร (1690-1775) ได้มีบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อรับความทันสมัย เมืองต่างๆในไฮฟา ชะฟาอ์อัมร์ และเอเคอร์ก็ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาขยายเครือข่าย ท่าเรือ และเมืองชายฝั่ง เพื่อติดต่อค้าขายกับยุโรป ตัวอย่างเช่นเมืองเบรุตที่เจริญอย่างมากจนได้รับฉายาว่าไข่มุกตะวันออก และเป็นประตูสำคัญในการค้าขายต่างประเทศของปาเลสไตน์ ขณะที่ด้านในก็ทำการค้าขายกับประเทศข้างเคียง
ประชากรในปาเลสไตน์จึงมีความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง และเป็นแหล่งทำมาหากินของประชาชนกว่าครึ่งล้าน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นอู่อารยธรรมที่เจริญพัฒนา อุดมสมบูรณ์ และมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
แม้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีประชาชนที่นับถือคริสต์ไม่น้อยกว่า 10% และชาวยูดาย์อีกไม่น้อยกว่า 5% และทั้งหมดก็อยู่กันมาภายใต้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เดียวกันมาตลอดนับพันปี ด้วยสังคมพหุวัฒนธรรม
ต่อเมื่อมีการชักนำและชี้ชวนจากลัทธิยิวไซออนิสต์ ให้ชาวยิวในยุโรปได้อพยพโยกย้ายมาตั้งหลักแหล่งในดินแดนแห่งนี้
จึงมีการปูทางด้วยการสร้างมายาคติว่าดินแดนปาเลสไตน์ เป็นดินแดนที่รกร้างว่างเปล่า เป็นทะเลทราย มีแต่พวกเร่ร่อนที่เดินทางผ่านไปมา และตั้งหลักแหล่งเป็นการชั่วคราว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรม
นอกจากนั้นขบวนการไซออนิสต์ยังสร้างมายาคติด้วยการเชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ไบเบิล ฉบับเก่าว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ทาสชาวยิวที่อพยพตามโมเสสมาสมัยฟาร์โรห์ รามเลสที่ 2 นั่นคือดินแดนคนาอัน
อย่างไรก็ตามก่อนการอพยพมาของพวกทาสชาวฮิบรู ดินแดนแห่งนี้ก็มีผู้คนอาศัยตั้งรกรากและเป็นอู่อารยธรรมมาก่อนหน้าแล้ว
และหากพระเจ้าจะสัญญายกดินแดนนี้ให้ชาวยิวจริงตามไบเบิล ก็มิได้ทำให้ชาวยิวมีสิทธิที่จะใช้ความอธรรมมาแย่งยึดที่ดินและกดขี่ประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่อยู่มาก่อน ผู้อพยพหากเป็นผู้ปฏิบัติตามพระคัมภีร์โดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นไบเบิล หรือโตรา ย่อมต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระเจ้าในการคิดดีทำดี
ไม่ใช่การฉ้อฉลชั่วร้ายที่เป็นไปตามแนวทางของขบวนการยิวไซออนิสต์ ที่ครอบงำความคิดของชาวยิวอพยพที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและมากระทำย่ำยี ต่อชาวปาเลสไตน์เหมือนที่ตนเองเคยถูกกระทำโดยนาซีเยอรมนีเพราะนั่นไม่น่าจะใช่พระธรรมคำสอนตามพระคัมภีร์โดยแท้