นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business เปิดเผยว่า วันนี้บริบททั่วโลกต่างเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง จากผลกระทบของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยปี 2020 คือการรับมือในภาวะฉุกเฉินและเรียนรู้เพื่อพร้อมสู่การปรับตัว เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันจนถึงจบไตรมาสแรกของปี 2021 ได้ยืนยันแล้วว่า โควิด-19 กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริบทรอบตัวเราไปแล้ว หรือ NOW NORMAL ซึ่งส่งผลทำให้โลก Online และ Digital กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย แบบแยกจากกันไม่ได้ไปแล้ว โดยในส่วนขององค์กรธุรกิจต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องยกระดับจาก Physical สู่ Digital ที่เข้ามาทรานสฟอร์มกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนให้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนมากขึ้น รวมถึงสร้าง New Business Model เพื่อตอบสนอง Lifestyle แบบ Work From Home ของคนทั่วโลก พร้อมทำให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อได้โดยไม่สะดุด แม้จะอยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยเราพบว่า องค์กรส่วนใหญ่ต่างมีการปรับตัวนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นสาระสำคัญ โดย 38.6% สร้างช่องทางการขายออนไลน์ และ 79.3% พร้อมรับชำระเงินทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงสถานการณ์ล็อคดาวน์ที่แพร่ระบาดรุนแรงขึ้นนั้น องค์กรต่างๆได้สร้าง Online Channel มากขึ้นเป็นอันดับ 1 ถึง 57.1% ทั้งนี้ในส่วนของ SME ต่างปรับตัวอย่างชัดเจนขึ้นใน 4 ด้านคือ เพิ่มการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์, เพิ่มนวัตกรรมในองค์กร, เพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน
นายธนพงษ์ กล่าวต่อว่า AIS Business ในฐานะ Smart Digital Partner ที่องค์กรของท่านเชื่อมั่นได้ (Your Trusted Smart Digital Partner) จึงพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างทุกองค์กร ตั้งแต่ SME จนถึง Enterprise ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้แต่ละองค์กรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ รวมถึงสามารถทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์รูปแบบของการทำธุรกิจ Social Distancing และ WFH, LFH ได้แบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ การเปิดตัว V-Avenue.co ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีกไปอีกขั้น พร้อมสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการ SME ได้เข้าถึงฐานลูกค้าผ่านช่องทาง Online Shopping หรือ Digital Yacht Quarantine ที่ใช้ IoT เข้าไปช่วยปรับ Business Model ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ 10 เทคโนโลยีที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญและพร้อมนำไปใช้ในทุกกระบวนการ จึงประกอบด้วย 5G, IoT, Cloud&EDGE Computing, Extended Reality, AI/Machine Learning, Robotics, Big Data & Analytics, Cyber Security, Robotic Process Automation และ Blockchain ซึ่ง AIS Business มีความพร้อมอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับทุกองค์กร เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ไปด้วยกันให้ได้ และก้าวสู่โลกของการทำ Digital Business ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
สำหรับการจัดงานสัมมนา “AIS Business Digital Future 2021” จึงเป็นเสมือนการช่วยอัพเดทดิจิทัลเทรนด์ใหม่ๆ รวมถึงนำตัวอย่างความสำเร็จการประยุกต์ใช้ Digital Solutions ที่รวมเอาศักยภาพทางเทคโนโลยีทั้ง Cloud, Cyber Security, IoT กับ 5G ของอุตสาหกรรมต่างๆ มาแบ่งปัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบให้แก่องค์กรต่างๆ ซึ่งงานนี้ AIS ได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ ผู้นำจากองค์กรชั้นนำระดับโลกและระดับประเทศ อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, National Digital ID (NDID), Microsoft Thailand, SC Asset Corporation, Toyota Motor Thailand, Palo Alto, VMware, BOSCH, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร, SCN, datafarm, Gorilla และ Opsta มาร่วมแชร์ข้อมูล up to date แบบจัดเต็มครอบคลุมทุกมิติ พร้อม Use cases อีกมากมาย สำหรับผู้ประกอบการไทย ที่สนใจสมัครหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมขายที่ดูแลองค์กรของท่าน หรือ เว็บไซต์ AIS Business https://business.ais.co.th/