ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ เมื่อเวลา​ 21.45 น.ของวันที่​ 19​ พ.ค.64​ ที่ผ่านมา พ.ต.ท.สมบูรณ์​ ภัทรวงษ์วิเศษ​ สารวัตรเวร​ สอบสวน​ สภ.เมืองกาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ​ 191​ ว่าเกิดเหตุมีการยิงกันที่บริเวณหน้าอู่แห่งหนึ่ง อยู่หมู่​ 11​ ต.ปากแพรก​ อ.เมือง​ ริมถนนสายพัฒนาการ ซึ่งเป็นอู่เคาะพ่นสีรถยนต์ขนาดใหญ่ มีผู้เสียชีวิต​ 2​ ราย​ และได้รับบาดเจ็บอีก​ 2​ คน หลังรับแจ้งจึงรีบรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเรื่อง​ตามลำดับชั้น จากนั้นจึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ​ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมเกียรติโฉมฉาย​ ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี​ และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนาย​ พร้อมประสานแพทย์เวร​ รพ.พหลพลพยุหเสนาฯ​ ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบร่างผู้เสียชีวิตนอนหงายจมกองเลือดอยู่ที่ลานหน้าอู่​ 1​ ราย​ ที่ข้างรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุดีแมคท์สีบรอนท์เงิน​ หมายเลขทะเบียน​ บว-924 กาญจนบุรี​ ที่จอดอยู่ริมถนนบริเวณหน้าอู่อีก​ 1​ รายที่จอดอยู่ในสภาพประตูรถแบบแค็ปเปิดได้​ที่กระจกด้านคนขับมีร่องรอยรูกระสุนปืน​ 1​ รู ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก​ 2​ รายเจ้าหน้าที่กู้ชีพมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์​ ได้ช่วยเหลือนำตัวส่ง​ รพ.พหลพลพยุหเสนาฯ​ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการใช้เชือกปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุไว้ห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ​ เนื่องจากเกรงว่าจะเข้าไปเหยียบย่ำทำลายหลักฐานภายในที่เกิดเหตุขึ้นได้​ จากนั้นจึงประสานแพทย์และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจภูธรจังหวัดฯ ให้มาทำการร่วมชันสูตรพลิกศพ​ และตรวจเก็บหาหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบอาวุธปืนแม็กกาชีนขนาด​ 7.​65 มม.​สีดำ​จำนวน​ 1​ กระบอก​ และปลอกกระสุนปืนขนาดเดียวกันตกอยู่​ภายในอู่ และอาวุธปืนลูกโม่ขนาด​.38​ อีก​ 1​ กระบอกตกอยู่ที่พื้นถนนด้านข้างประตูคนขับรถยนต์กระบะ​ ภายในรังเพลิงมีปลอกกระสุนปืนที่ยิงไปแล้วจำนวน​ 3​ ปลอก​ ลูกกระสุน​ปืนอีก 3​ นัด​ จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นจากการสอบสวนปากคำ​ นส.สิริวรรณ​ ช้อนใจ​ อายุ​ 26​ ปี​ และบรรดาญาติๆ​ ของผู้ตายทราบว่า​ ผู้ตายที่เสียชีวิตอยู่ที่ลานหน้าอู่​รถนายวิรัตน์ อายุ​ 55​ ปี​ อยู่หมู่​ 6 ดอนแสลบ​ อ.ห้วยกระเจา​ จ.กาญจนบุรี​ ทำงานเป็นหัวหน้าช่างอยู่ที่อู่ดังกล่าว ส่วนศพที่นอนหงายเสียชีวิตอยู่ข้างรถกระบะนายอิทธิพงษ์ อายุ​ 36 ปี​ อยู่หมู่​ 2​ ต.หนองกร่าง​ อ.บ่อพลอย​ จ.กาญจนบุรี​ มีอาชีพเป็นพ่อค้าขายนมสด​ และน้ำเต้าหู้ตามตลาดนัด ผู้ตายทั้ง​ 2​ คนมีศักดิ์เป็นอดีตพี่เมียกับอดีตน้องเขยกัน​ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก​ 2​ คนที่ถูกนำตัวส่ง​ รพ.เป็นหลานชายของนายวิรัตน์​ สืบดา​ ผู้ตาย​ และลูกน้องช่างภายในอู่​ ส่วนสาเหตุที่นายอิทธิพงษ์​ ก่อเหตุครั้งนี้น่าจะเกิดจากความโกธรแค้นและผูกใจเจ็บที่มาสอบถามหาที่อยู่ของอดีตภรรยา​ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายวิรัตน์​ ผู้ตาย​ ที่ เลิกกันได้ประมาณ​ 2​ เดือนกว่าแล้วหอบผ้าหอบผ่อนหลบหนีไป​ ทำให้นายอิทธิพงษ์​ มาติดตามสอบถามที่อยู่ของอดีตภรรยากับนายวิรัตน์​ อยู่เป็นประจำหลายครั้งหลายหน ทุกครั้งที่มาก็มักจะไม่ได้คำตอบ​ และจะมีปากเสียงด่าว่ากันไป​อยู่เป็นประจำ จนนายอิทธิพงษ์​ อดีตน้องเขยเคยพูดจาข่มขู่นายวิรัตน์ว่า​ ระวังตัวไว้ให้ดี จะฆ่าให้ตายหมดทั้งอู่ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า​ ก่อนเกิดเหตุนายอิทธิพงษ์​ ผู้ตายได้ขับรถกระบะมาจอดที่หน้าอู่​ และเดินเข้าไปสอบถามที่อยู่ของอดีตภรรยากับนายวิรัตน์​ อดีตพี่เมีย​ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ​ กลับถูกด่าสวนกลับ​ โดยนายวิรัตน์​ บอกว่าไม่รู้ไปไหน​ รู้แต่ว่าไปอยู่กรุงเทพฯ​ แต่ไม่รู้ไปอยู่ตรงจุดไหนของกรุงเทพฯ จึงมีปากเสียงปะทะคารมกันอีกจากนั้นนายอิทธิพงษ์​ อดีตน้องเขย​ ก็ทำทีเดินหันหลังจะเดินไปที่รถเพื่อขับรถกลับ เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น​ นายอิทธิพงษ์​ ได้หันหลังกลับและชักอาวุธปืนออกมาจากเอวกระหน่ำยิงไปที่นายวิรัตน์​ าอดีตพี่เมีย​ 1​ นัดกระสุนถูกเข้าที่บริเวณหน้าอกจนล้มลงหงายหลังจมกองเลือดเสียชีวิตทันที เสียงปืนทำให้หลานชายของนายวิรัตน์​ และลูกน้องช่างภายในอู่ต่างตกใจพากันวิ่งออกมา​ดู​และช่วยเหลือนายวิรัตน์​ จึงถูกนายอิทธิพงษ์​ อดีตน้องเขยจอมโหดใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันที่ใช้ก่อเหตุยิงใส่จนหลานชายของนายวิรัตน์​ ผู้ตาย​ รวมทั้งลูกน้องช่างบาดเจ็บไปอีก​ 2​ คน จากนั้นนายอิทธิพงษ์​ ได้เดินขึ้นรถเพื่อขับรถหลบหนี​ อยู่ๆ​นายอิทธิพงษ์ ก็ถูกจ่อยิงเข้าที่ขมับด้านซ้ายจนร่างกระเด็นตกจากรถ​ โดยที่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง​ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อมูลเบาะแสจึงเชิญตัวช่างที่อยู่ในอู่​ ซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นคนลงมือยิงนายอิทธิพงษ์​ ผู้ตาย​ ไปทำการสอบสวนปากคำ​ และนำกล้องวงจรปิดที่อยู่ภายในอู่ไปตรวจสอบหลักฐานดูภาพเหตุการณ์เพื่อติดตามสอบสวนจับกุมคนร้ายที่ยิงนายอิทธิพงษ์​ จนเสียชีวิตมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป