อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... “ควรปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หรือนักการเมือง” ประวัติศาสตร์ ฉบับอัษฎางค์ ยมนาค เปิดเนตร “ฆ่าพี่ให้ชีพวาย แล้วฆ่าน้องให้ตายทั้งเป็น” คือการแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองชั่ว โดยใช้พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ใครคือที่มีอำนาจทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์หรือนักการเมือง? ............................................................................ เรื่องลูกฆ่าพ่อ น้องฆ่าพี่ พี่น้องตีกัน เพื่อแย่งอำนาจ คือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในยุคโบราณ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในราชสำนักของไทย จีน ฝรั่ง ชาวปลดแอกคณะทรราษฎร์และคอมมิวนิสต์หลงยุคนักย้อนแย้งแห่งชาติ ผู้ซึ่งต่อต้านประวัติศาสตร์ กับคำกล่าวที่ว่าผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ แต่กลับย้อนแย้งด้วยการนำประวัติศาสตร์ยุคโบราณมาสร้างข่าวลือต่างๆนานาสารพัด เช่นสร้างข่าวลือว่า แม่ของ ร.3 วางแผนฆ่า ร.2 เพื่อชิงบัลลังก์เจ้าฟ้ามงกุฎให้ลูกชายของตนได้เป็น ในหลวงรัชกาลที่ 3 สร้างข่าวลือว่า ร.9 ฆ่าพี่ชาย ร.8 โดยช่วงแรกสร้างข่าวลือว่าแม่และน้องชายวางแผนร่วมกันฆ่าพี่ชาย แต่ความไม่สมเหตุสมผลนั้นสูงมาก พอไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็น พี่น้องชอบเล่นปืน แล้วพลาด ต่อมาจับพี่ชายกับน้องสาวเป็นคู่เปรียบเทียบ ให้พี่ชายรับบทวายร้ายและน้องสาวเป็นแม่พระ โดยน้องสาวโดนพี่ชายกระทำต่างๆ นานๆ แต่ความย้อนแย้งของชาวปลดแอกคณะทรราษฎร์และคอมมิวนิสต์หลงยุคนักย้อนแย้งแห่งชาติ คือ การที่พวกเขาปลุกระดมมวลชนและเยาวชนว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สอนในโรงเรียนถูกบิดเบือนมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ด้วยคำว่า ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ เขาเริ่มให้ร้ายราชวงศ์จักรีตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ ว่ารัชกาลที่ 1 ปฏิวัติสมเด็จพระเจ้าตากสิน แล้วเขียนประวัติศาสตร์เข้าข้างตัวเอง ต่อมาก็มีการแข่งขันแย่งชิงราชสมบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริงแม้แต่ตัวอักษรเดียว อัษฎางค์ ยมนาค จะมาเปิดเนตร ............................................................................ การแข่งขัน แย่งชิงและเข่นฆ่ากันระหว่างพ่อลูก พี่น้อง ในราชสำนักนั้นมีอยู่จริง แต่มีอยู่ในเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น เมื่อรัชกาลที่ 1 สวรรคต รัชกาลที่ 2 ขึ้นครองราชย์โดยเอกฉันท์ ในฐานะวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท เมื่อรัชกาลที่ 2 สวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งเป็นเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท เพราะอายุเพิ่งครบบวชและเพิ่งบวช เหล่าสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ ลงมติในที่ประชุมว่า พระโอรสองค์โต ซึ่งมีผลงานมากมายมานานสมควรไปครองราชสมบัติ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นในราชสำนักสยามตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เมื่อรัชกาลที่ 4 สวรรคต เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นวังหน้ามหาอุปราชองค์รัชทายาท ก่อนสิ้นลมรัชกาลที่ 4 ตรัสกับสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ว่า ถ้าเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมให้ตั้งผู้นั้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป โดยไม่ได้ระบุชื่อพระราชโอรสองค์โต เหล่าสภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ ลงมติในที่ประชุมว่า พระโอรสองค์โตเหมาะสมกับการครองราชบัลลังก์ การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นอีกครั้งในราชสำนักสยามตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ............................................................................ เมื่อรัชกาลที่ 5 ครองราชย์สมบัติ ได้ทรงมีพระราชดำริว่า ตำแหน่ง พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า เป็นตำแหน่งพระมหาอุปราช ซึ่งถือเป็นตำแหน่งรัชทายาท ที่มีมาตั้งแต่อยุธยานั้น มีกฏเกณฑ์ไม่ชัดเจน คือบางคราวก็เป็นพระอนุชา บางครั้งก็เป็นพระราชโอรส จึงทำให้เกิดการแข่งขัน แย่งชิงและเข่นฆ่ากัน เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ พระองค์จึงให้ยกเลิกตำแหน่งพระราชวังบวรสถานมงคล หรือตำแหน่งพระมหาอุปราชนั้นเสีย แล้วริเริ่มให้มีตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นตำแหน่งขององค์รัชทายาท ที่จะตั้งจากพระราชโอรสพระองค์โตเท่านั้น ตามแบบนานานอารยประเทศ เมื่อรัชกาลที่ 6 ครองราชย์สมบัติ ได้ทรงริเริ่มการเขียนพินัยกรรมเพื่อมอบราชสมบัติ พร้อมทั้งกำหนดลำดับการสืบสันติวงศ์เป็นกฎหมายอย่างชัดเจน ก่อนเมื่อรัชกาลที่ 7 จะขึ้นครองราชย์สมบัติ สภาขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ มีความเห็นแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายพระราชสมบัติต้องตกลงตามพินัยกรรมที่รัชกาลที่ 6 ทรงเขียนไว้อย่างชัดเจน เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ โดยมิได้ระบุผู้สืบราชสมบัติ อันเป็นพระราชอำนาจส่วนพระองค์ รัฐสภาในรัฐบาลประชาธิปไตยใหม่เอี่ยม ก็ลงมติให้ทำตามกฎหมายการสืบสันติวงศ์ที่ร่างขึ้นมาตั้งสมัยรัชกาลที่ 6 กล่าวคือ ผู้ที่เป็นองค์รัชทายาทซึ่งเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นเอก ล้วนทยอยสิ้นพระชนม์จนหมดสิ้น ราชสมบัติจึงตกลงสู่พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นเอกที่ยังคงเหลืออยู่ รัชกาลที่ 8 จึงได้รับรองจากรัฐสภาให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ตามสิทธิของพระราชโอรสองค์โต ของเจ้าฟ้ามหิดล พระมหากษัตริย์ไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ขึ้นครองราชสมบัติโดยการลงมติของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งนี่คือประชาธิปไตยชัดๆ ............................................................................ เมื่อรัชกาลที่ 8 สวรรคตจากโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่คณะราษฏร์ครองอำนาจ และไม่ใช่คณะราษฎร์คณะนี่หรือที่ล้มเจ้า คณะราษฎนี่มิใช่หรือ ที่มีจุดประสงค์ในตอนเริ่มแรกว่าจะเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ โดยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป แต่สุดท้ายพบว่า ไม่สามารถปกครองประเทศได้หากขาดซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน รัสเซีย และฝรั่งเศส เกิดจากประชาชนที่ถูกกดขี่ลุกฮือขึ้นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในประเทศไทย ประชาชนคนไทยได้รับความรักความเมตตาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา เพราะฉะนั้นประชาชนจึงรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา เมื่อคณะราษฎร์ปฏิวัติล้มเจ้าสำเร็จ จากความเกลียดชังเจ้าเป็นการส่วนตัว พบว่าไม่อาจครองอำนาจได้อย่างยั่งยืนถ้าขาดสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเทิดทูนของประชาชน ............................................................................ จากเหตุผลดังกล่างข้างต้นนี้ จะมีเหตุผลอะไรที่พี่น้อง 2 คน ที่รักกันยิ่ง และเติบโตมาในครอบครัวเล็กๆ ที่ห่างไกลประเทศไทย และห่างไกลจากการเมือง จะทะเยอทะยาน แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้มีอำนาจทางการเมือง ไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ แต่เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้อำนาจของคณะราษฎร์ ทรราชผู้ล้มพระประยูรญาติวงศ์ให้ได้รับความเดือดร้อน ถ้าคิดจะแก่งแย่งอำนาจ ไปแก่งแย่งอำนาจกับคณะทรราช เพื่อทวงคืนพระราชอำนาจไม่ถูกต้องกว่าหรือ พี่น้องจะมาแก่งแย่งอำนาจ ที่ไม่มีอยู่จริงทำไม จริงไหม การเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าเหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอดีต แถมยังต้องรับภาระอันหนักอึ้ง นักการเมืองต่างหาก คือผู้มีอำนาจล้นฟ้าตัวจริง และนักการเมืองต่างหากคือผู้ที่แก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ............................................................................ เพราะฉะนั้น เราพอจะสรุปได้หรือไม่ว่า.... “โศกนาฏกรรมของในหลวงรัชกาลที่ 8 คือ” “การแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ของนักการเมืองชั่ว” แล้วการโยนบาปให้ร้ายป้ายสีในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ การแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่าของนักการเมืองที่ “ฆ่าพี่ให้ชีพวาย แล้วฆ่าน้องให้ตายทั้งเป็น” ............................................................................ หลังจากปล่อยข่าวลือให้ร้ายว่าน้องกับแม่ร่วมมือกันฆ่าพี่ ไม่เป็นผล ก็เปลี่ยนเป็น พี่น้องชอบเล่นปืน แล้วน้องพลาดทำปืนลั่น ขอถามคำถามง่ายๆ ว่า พวกเราชาวบ้านรู้หรือไม่ว่า ปืนเป็นของอันตราย ห้ามเอามาเล่น เรารู้กันดีตั้งแต่ยังเล็กยังน้อยใช่หรือไม่ คำถามที่ 2 คือ ผู้ที่เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เพราะฉะนั้นคำกล่าวให้ร้ายนี้ก็เหมือนการให้ร้ายป้ายสีอื่นๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลเลย ............................................................................ ตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 10 จะครองราชย์สมบัติ ขบวนการสร้างภาพพี่น้องแก่งแย่ง แข่งขัน เข่นฆ่า ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ต้นราชสกุลมหิดลก็ยังคงถูกใช้เป็นกลยุทธ์ทำลายล้างเรื่อยมาถึงปัจจุบัน ข่าวลือว่า สยามมกุฎราชกุมาร กับสยามมกุฎราชกุมารี ตีกันมีมาตลอดรัชสมัยในหลวง ร.9 แม้แต่ข่าวลือว่าสยามมงกุฎราชกุมารจะฆ่าพ่อก็ยังมี แต่มีผู้ใหญ่ที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้จัก เคยเล่าให้ผมฟังว่า สมเด็จพระบรมฯ พระยศในขณะนั้นเคยตรัสต่อหน้าเขาและข้าราชบริพารหลายคน ว่า “เราก็รักพ่อ เราก็รักน้องเรา” ............................................................................ ขอฝากคำถามทิ้งท้าย... การปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์หรือนักการเมือง ที่มีอำนาจทางการเมือง? การปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์หรือนักการเมือง ที่มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน? เพราะฉะนั้น พระมหากษัตริย์หรือนักการเมือง ที่แก่งแย่งอำนาจ โดยมุ่งหวังจะมีอำนาจทางการเมือง คอร์รัปชันและเบียดเบียนประชาชน? คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด ไม่อยากโง่ อย่าเป็นเหยื่อของคนฉลาด ถ้าไม่ได้เป็นคนโง่ อย่าตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด อัษฎางค์ ยมนาค เปิดเนตร ............................................................................ ถ้าท่านคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ช่วยเบิกเนตรญาติมิตรลูกหลาน ช่วยกัน กดไลค์ และกดแชร์ให้ถึงคนไทยทุกคน ที่สำคัญอย่าลืมกดติดตามเพจของผมอันนี้ เพื่อจะได้ช่วยให้เพจของผมเติบโตและเข้มแข็ง ไว้ต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้าล้างชาติ รวมทั้งจะได้เอาไว้รับข้อมูลเบิกเนตรได้ต่อๆ ไป