รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วานนี้(18 พ.ค.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในการพิจารณาให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติม ภายใต้ร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... โดยมีกรอบวงเงินกู้ไม่เกิน 700,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทั้งนี้กระทรวงการคลังเห็นว่า การระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศยังคงมีความต้องการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่ากรอบวงเงินที่เสนอนี้ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยปี 64 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดไว้อีกประมาณ 1.5% อีกทั้งการดำเนินการกู้เงินของรัฐบาลภายใต้ร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ เมื่อรวมกับประมาณการการกู้เงินอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว จะส่งผลให้สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน ก.ย.64 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9,381,428 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58.56% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่ 60% ของ GDP
สำหรับความจำเป็นที่ ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาทว่า เนื่องจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ฉบับเดิมที่กำหนดให้มีการกู้เงินแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.64 เหลือวงเงินเพียง 1.65 หมื่นล้านบาท ขณะที่สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศยังยืดเยื้อ และมีการระบาดระลอกใหม่ช่วง ม.ค.-พ.ค. ซึ่งแม้จะมีวัคซีนเข้ามา แต่ไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าจะควบคุมการระบาดได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 จะเหลือเพียง 3.2 ล้านคน ลดลงจากเดิม 5 ล้านคน และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเหลือ 2.3% ต่ำกว่าเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ 2.8%
นอกจากนี้ การระบาดยังส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2563 ต่ำกว่าประมาณการ 3.43 แสนล้านบาท อีกทั้งในปี 2564 การจัดเก็บรายได้ยังคงได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นกระทรวงการคลัง จึงเห็นควรกำหนดกรอบวงเงินเพื่อรองรับสถานการณ์ไว้ไม่เกิน 7 แสนล้านบาท เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่ สศค.ประมาณการไว้อีก 1.5% โดยมีกรอบการใช้จ่ายคือ 1.จัดหาวัคซีน 3 หมื่นล้านบาท 2.เยียวยาผลกระทบ 4 แสนล้านบาท และ 3.ฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 2.7 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.ก.ดังกล่าวแล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎหมายเร่งด่วนต่อไป และมอบหมายให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณปี 2565 เพื่อชำระดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและการจัดการตราสารหนี้ภายใต้ พ.ร.ก.ดังกล่าวต่อไป