แม่ค้าขายของชำวัย 48 ปี ชาวตำบลหนองอิเฒ่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ หอบหลักฐานกว่า 200 หน้า พร้อมภาพถ่าย คลิปเสียง สลิปโอนเงิน โร่แจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ยางตลาด หลังถูกคนรู้จักหลอกให้โอนเงินหลายครั้งระหว่างปี 2558-2560 สูญเงินรวมกว่า 39 ล้านบาท อ้างนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงิน 1 หมื่นล้านจากธนาคารแห่งชาติ แลกกับค่าตอบแทน 5 พันล้านบาท สุดท้ายรู้ตัวถูกหลอก เนื่องจากมีหมายจับของตำรวจหลายท้องที่ คาดมีผู้เสียหายจำนวนมาก วงเงินไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 18 พ.ค.64 ที่ สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ 6 บ้านดอนกลอย ต.หนองอิเฒ่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นำหลักฐาน ทั้งเอกสารจำนวนกว่า 200 หน้าพร้อมภาพถ่าย คลิปเสียง และสลิปโอนเงิน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ หลังถูกคนรู้จักหลอกให้โอนเงินหลายครั้งระหว่างปี 2558-2560 สูญเงินรวมกว่า 39 ล้านบาท โดย พ.ต.อ.ศิลปชัย พงศ์วัชรจินดา ผกก.สภ.ยางตลาด มอบหมายให้ พ.ต.ท.ปฏิวัติ ประวิเศษ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ยางตลาด และ ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.ยางตลาด รับแจ้งความ
นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยไปทำงานต่างประเทศ พอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งจึงกลับบ้านเกิดที่ จ.กาฬสินธุ์ และเปิดร้านขายของชำ การค้าขายค่อนข้างไปได้ด้วยดี จากนั้นพอปลายเดือนมีนาคม 2558 มีสองสามีภรรยา ชื่อนายเอ และนางบี (นามสมมุติ) เป็นชาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เข้ามาตีสนิท อ้างว่ารู้จักกับอาจารย์ที่เคยสอนตนตอนเรียนชั้นประถมศึกษา ก่อนที่จะแนะนำให้ตนรู้จักกับ สามีภรรยาอีกคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นชาว จ.มหาสารคาม และมีนามสกุลเป็นคนใหญ่คนโต มีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม โดยบอกว่าต้องการเงินด่วนจำนวน 180,000 บาท เพื่อนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างมากจากธนาคารแห่งชาติ โดยจะขอยืมเพียง 7 วันก็จะคืนให้ วันที่ 1 เมษายน 2558 จึงได้นัดแนะกันที่ปั้มน้ำมัน 4 แยกไฟแดง อ.ยางตลาด โดยมีการลงนามบันทึกให้ยืมและกำหนดวันส่งคืนวันที่ 8 เมษายน 2564
นางอาภากล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนยอมให้สองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามคู่นั้นยืมเงิน เนื่องจากเชื่อใจว่านายเอ และนางบี ที่เป็นคนรู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตน และรู้สึกเห็นใจคนที่เขาเดือดร้อน ต้องการเงิน จึงไม่คิดอะไรมาก แต่พอถึงวันกำหนดนัดคืนเงิน ทางสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามคู่นั้นก็พยายามบ่ายเบี่ยง และอ้างว่าเงินที่ยืมมาจำนวน 180,000 บาท ยังไม่สามารถถอนอายัดได้ เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมากถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากทางธนาคารแห่งชาติอายัดไว้แล้ว ยังมีทาง ป.ป.ง.กำลังทำตรวจสอบและอายัดไว้ด้วย กระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ได้ขอยืมเงินจากตนอีกจำนวน 380,000 บาท เพื่อไปวิ่งเต้นให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.ทำการถอนอายัดให้ เพราะบัญชีมีเงินมาก จึงอาจจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม ได้ยื่นข้อเสนอว่าหากให้ยืมจะให้ค่าตอบแทนกับตนจำนวน 2,500 ล้านบาท ตนจึงหลงเชื่อและเบิกเงินสดมาให้
นางอาภา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับข้อมูลของสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามคู่นี้ ตนไม่เคยรู้จักและทราบเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่เนื่องจากมั่นใจในตัวสองสามีภรรยาชาว จ.กาฬสินธุ์ที่รู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษา และเห็นว่าเป็นนามสกุลของคนมีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม ประกอบกับมีการป้อนข้อมูลให้ตนทราบว่าสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม ฝ่ายชายเป็นลูกชายของแม่เลี้ยง ฐานะร่ำรวยมากระดับเศรษฐี อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ทางครอบครัวจะโอนเงินมาให้ลูกชาย แต่เนื่องจากจำนวนเงินในบัญชีมีจำนวนมาก จึงถูกอายัดไว้ และไม่สามารถถอนออกมาได้ จึงต้องหาหยิบยืมเงิน เพื่อนำไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. ให้ถอนอายัดตนจึงยอมเชื่อใจอย่างง่ายดาย
นางอาภา กล่าวอีกว่า หลังจากตนได้ให้ยืมเงินไปแล้ว จากนั้นสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามได้ติดต่อมาขอยืมเงินตนอีกหลายครั้ง อ้างจะเอาเงินไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.และธนาคารแห่งชาตินำเงินออกมาให้ได้ โดยมีสองสามีภรรยาชาว จ.กาฬสินธุ์เป็นผู้ประสานงาน พร้อมยืมข้อเสนอจะเพิ่มค่าตอบแทนให้จากเดิม 2,500 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท ตนจึงหลงเชื่อและโอนเงินไปให้หลายครั้งเฉลี่ยครั้งละ 4 แสนบาทถึง 1 ล้านบาท มาตั้งปี 2558 เรื่อยมาจนครั้งสุดท้ายปลายปี 2560 ได้นำโฉนดที่ดินทั้งของตนเองและของญาติพี่น้อง ไปจำนองและกู้เงินธนาคาร เพื่อนำเงินมาให้สองสามีภรรยาคู่นั้นยืมอีก รวมแล้วที่ให้สองสามีภรรยาคู่นั้นยืมจำนวนเงิน 39,000,000 บาท
นางอาภา กล่าวในตอนท้ายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นระหว่างเดือนเมษายน 2558-2560 สาเหตุที่ตนปล่อยให้ล่วงเลยมานานถึง 4 ปี และตัดสินใจเข้าแจ้งความวันนี้ เนื่องจากยังมีความหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนจากสามีภรรยาคู่นั้นจำนวน 5,000 ล้านบาท หรือไม่ก็ได้เงินของตนเองคืนก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้สักบาท และล่าสุดทราบว่าสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามนั้น มีหมายจับในหลายท้องที่จึงรู้ว่าตนเองถูกหลอก และไม่ได้เงินคืนอย่างแน่นอน จึงได้นำหลักฐานที่มีอยู่เข้าแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับสองสามีภรรยาคู่นั้นอย่างถึงที่สุด เพื่อต้องการเงินคืนและไม่ให้ไปก่อเหตุหลอกลวงชาวบ้านคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อนอีก อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีผู้เสียหาย ถูกหลอกในลักษณะเดียวกับตนหลายรายความเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
ด้าน ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งความร้องทุกข์ จากนาง อาภา ภูขะมา ผู้เสียหายแล้ว ก็จะได้รวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องสอบปากคำ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป