ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อมนิด้า กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ผิดหวังที่รัฐบาลเลือกผ่อนคลายแทนที่คุมเข้มขึ้น และสถานการณ์การระบาดของโควิดในกรุงเทพฯเข้าขั้นแย่มาก และกำลังเข้าสู่จุดที่เรียกว่า “%5 Trap” จบยาก เจ็บมาก และเจ็บนาน ล่าสุด หรือ ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ผ่านทางเฟซบุ๊ก Sunt Srianthumrong โดยระบุข้อความว่า...Covid-19: Wave#3 มองไปข้างหน้า ประเทศไทยในวันที่ตัวเลขข้าม 100,000 ความน่าผิดหวังในกรุงเทพฯและปริมณฑล ข่าวดีและข่าวร้าย วันนี้ตัวเลขข้ามแสนไปแล้วอย่างรวดเร็ว และหยุดไม่อยู่ น่ากังวลอย่างยิ่งครับว่า Wave#3 นี้จะไปหยุดที่ตรงไหน ซึ่งในเชิงตัวเลขตอนนี้สถานการณ์ในกรุงเทพฯแย่มากๆ กำลังเข้าสู่จุดที่เรียกว่า “%5 Trap” จบยาก เจ็บมาก และเจ็บนาน น่าผิดหวังครับที่ แรงกดดันทั้งหลายทำให้รัฐบาลเลือกที่จะผ่อนคลาย แทนที่จะควบคุมให้เข้มขึ้น และนั่นทำให้ความเสี่ยงต้องประเมินกันใหม่ ข่าวดี : สถานการณ์ในต่างจังหวัด ค่อนข้างเป็นไปตาม Scenario ที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าไม่พลาดท่า เสียที ในหลายพื้นที่ชีวิตจะเริ่มกลับเข้าสู่ปกติได้พอสมควร ข่าวร้าย 1. ต่างจังหวัดที่ว่าไม่รวม Bangkok Connection 9 จังหวัด คือ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร อยุธยา นครปฐม ชลบุรี ระยอง ซึ่งแนวโน้มไม่มีทางจบ ถ้า กทม.ไม่จบ และ กทม.ทำท่าว่าจะ “ไม่จบ” 2. กับดัก “%5 Trap” กราฟ %Increase ของ กทม.ช่วงแรกลงอย่างรวดเร็วและดีมาก แต่สุดท้ายมาหยุดนิ่งอยู่ที่ 5% ไม่ลงต่อมาร่วม 2 สัปดาห์แล้ว เหมือนติดกับดัก นั่นแสดงชัดเจนว่า คนที่ทำตามมาตรการทำดีมากและมีจำนวนมากกว่าครึ่ง แต่คนที่ไม่ทำตามมาตรการที่เหมาะสมก็มีมากเกินไป จนเกิดการระบาดย่อมเรื่อยๆ และนี่จะทำให้ กทม.ไม่มีวันจบ 3. Trap แบบนี้ที่เคยเกิดในต่างประเทศ มาเลเซีย แอฟริกาใต้ UK US Japan ฯลฯ มากมาย อาการเจ็บแล้วไม่จบ ทรงๆ แล้วก็ทรุดหนักสาหัสเลย อินเดียก็ค้างอยู่ 10,000 คนต่อวันที่ปลาย Wave#1 กดไม่ลง ไม่กดต่อ ผ่อนคลายแล้วตัวเลขก็วิ่งไกลเลย 4. กทม.ปริมณฑล ตัวเลขหลุด Scenario กราฟที่จะทำให้จบภายใน 2-3 เดือนไปหมดแล้ว สถานะตอนนี้คือ “Unpredictable” คาดการณ์อะไรไม่ได้เลยซึ่งถือว่าแย่มากๆ 5. ตัวเลขถ้า %Increase ยังเป็น 5% ไปเรื่อยๆ ผมทำกราฟมาให้ดูครับ บอกเลยว่า หนักหนาสาหัสมากแน่นอน สิ่งที่ภาครัฐควรต้องทำอย่างยิ่ง : 1. ต่างจังหวัด กักตัว 14 วันทุกคนที่มาจากกทม.ปริมณฑล อย่างน้อยอีก 3 เดือน แล้วเด็กๆ ที่นั่นจะไปโรงเรียนได้ ร้านค้าร้านอาหารเปิดได้ สาธารณสุขไม่ล่ม 2. ปิดชายแดนให้สนิท ต้องกันสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 ให้ได้ 3. ระดมฉีดวัคซีนใน กทม.ปริมฑล อย่างเร่งด่วนให้ได้วันละอย่างน้อย 200,000 วัคซีนคือความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายของพื้นที่นี้แล้ว 4. อย่าได้ผ่อนผันอะไรในกทม.ปริมณฑลให้มากไปกว่านี้โดยเด็ดขาด ถ้าสถานการณ์แย่ลงต้องเตรียม Lockdown กทม.จริงๆจัง ไม่งั้นตายเกลื่อนครับ 5. Total Case 200,000 น่าจะไปถึงแน่ๆ และส่วนมากคงอยู่ในเขต กทม.ปริมณฑล ขอให้หยุดที่ตรงนี้ให้ได้ เพราะสถานีถัดไปถ้าหยุดไม่อยู่ส่วนมากแล้วคือ 500,000 สิ่งที่ปุถุชนควรต้องทำ: 1. คน กทม.ปริมณฑลยกการ์ดให้สูงที่สุดอีก 3 เดือน 2. ใครทำข้อ 1 ไม่ได้ ให้อพยพออกจาก กทม. ไปกักตัว ตจว. 14 วันแล้วอยู่ยาว 3. ไปฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ไม่ว่ามันจะเป็นยี่ห้ออะไร ผลิตจากที่ไหน 4. คน กทม.ปริมณฑลอย่าเดินห้าง อย่ากินอาหารในห้องแอร์ เขาเปิดก็ให้เขาเปิดไป อย่าไปเข้า 5. WFH ต่อไป แต่เชื่อเลยว่าต้น มิ.ย.หลายกิจการไม่ไหวแน่ คงเรียกพนักงานเข้าออฟฟิศเยอะขึ้นมาก เตรียม N95 กับข้าวกล่องจากบ้านไปกินได้เลย ณ จุดนี้ ไม่ใช่แค่ในบ้านเรา ใกล้ๆ บ้านเรา แชมป์อย่างเวียดนามก็แตก ไต้หวันก็เพิ่งแตกเมื่อวาน สิงคโปร์ก็โดนอีกรอบ มัลดีฟส์เละ เนปาลเละ ศรีลังกาก็พัง นี่คือ ประเทศระดับแชมป์ทั้งนั้น ผมคิดว่า สายพันธุ์อินเดียน่ากังวลมาก เราจำเป็นที่จะต้องควบคุม Wave#3 ใน กทม.และปริมณฑลให้จบ วัคซีนต้องฉีดทั่วประเทศวันละล้านก็ต้องทำให้ได้ ผมสังหรณ์จริงๆ นะครับว่า อีก 2-3 เดือน ศึกใหญ่มาแน่ๆ และพูดตรงๆ ครับว่า ถ้าไวรัสยังกลายพันธุ์เรื่อยๆ แบบนี้ อาจได้สู้กันยาวถึงปีหน้าครับ ไม่อยากสู้ก็ต้องสู้ เราไม่ใช่คนตั้งกฎของสงครามครั้งนี้ แต่เป็นไวรัส และมันเล่นไม่เลิก