แม่เข้าทรุดเผยอุทาหรณ์ ลูกสาววัย 13 ปี เล่นแอพลิเคชั่นหนึ่ง ช่วงงอนกับแม่ไม่กี่ชั่วโมงถูกลวงรับออกไปจากโครงการหมู่บ้านบอกว่าจะพาไปกินข้าวแต่พากลับไปลวงไปชำเราในโรงแรมม่านรูดก่อนปล่อยทิ้งไว้ลำพังต้องหาทางกลับบ้านเอง ยอมรับลูกสาวติดโทรศัพท์มือถือหนักโชคดีไม่ถูกเอาไปฆ่าถือเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิตจากนี้จะศึกษาข้อมูลในโทรศัพท์มากขึ้นเพื่อตามพฤติกรรมให้ทันโลกวัยรุ่น ส่วนลูกสาวบอกชายคนดังกล่าวพาไปโรงแรมแทนที่จะพาไปกินข้าวตามที่มานัดและทิ้งไว้ลำพังคนเดียวจนถึงบ่ายก่อนตัดสินใจเดินหาทางกลับบ้าน
วันที่ 17 พฤษภาคม 64 ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจาก นางอุษา (นามสมติ) อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดนครปฐม ว่าบุตรสาว ชื่อเด็กหญิงอรดี อายุ 13 ปี ได้ถูกชายวัยกลาง คาดว่าคือนายเอกชัย ล่อลวงไปกระทำเราภายในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีการล่อลวงจากการใช้ แอพพลิเคชั่น ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ได้ลงบันทึกประจำวันที่สภ.นครชัยศรี และได้ตรวจร่างกายไว้แล้วที่โรงพยาบาลนครชัยศรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นประสบการณ์ ที่คนเป็นแม่นั้นเกิดความทุกข์และวอนให้ตำรวจเร่งติดตามตัวชายคนดังกล่าวมาดำเนินคดีด้วย
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เข้าพบกับ นางอุษา (นามสมมติ) อายุ 31 ปี โดยพบว่ามีสีหน้าเคร่งเครียด ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองได้เลิกรากับพ่อของน้องอรดี มาตั้งแต่ลูกสาวอายุได้เพียง 1 ขวบ แต่ก็ยังติดต่อดูแลบุตรสาวเรื่อยมา ซึ่งทางพ่อของเขาได้บอกว่างานยุ่งและน้องอรดี (นามสมมติ) ก็อยู่ในวัยกำลังเป็นสาวแต่มีการติดโทรศัพท์มือถือมาก ขอให้เอาลงมาช่วยดูแลเพราะมีภาระต้องเปิดร้านอาหารตามสั่งซึ่งงานยุ่งเนื่องจากต้องเร่งหารายได้ในช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ไม่มีเวลาดูแล ซึ่งตนเองได้รับมาดูแลเมื่อ 2 เดือนก่อน และพบว่าลูกสาวก็มีพฤติกรรมติดโทรศัพท์มือถืออย่างหนัก จึงได้เร่งวางแผนจะฝึกการทำงานและหวังจะหารายได้ให้ลูกสาวด้วยการฝึกอาชีพช่างทำผมและทำอาหารให้ลูกสาวช่วยกันหาเลี้ยงชีพในช่วงนี้ แต่ตนเองก็มีภาระเพราะต้องเลี้ยงลูกสาวที่มีกับสามีใหม่ โดยช่วยกันทำงานก่อสร้างหารายได้กันรายวันในช่วงนี้
นางอุษา (นามสมมติ) บอกอีกว่า แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเมื่อหัวค่ำวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตนเองได้ทะเลาะกันกับลูกสาวซึ่งได้สั่งให้ไปล้างจานแต่ยังไม่ได้ทำตามที่สั่งจึงได้ดุตำหนิไป ทำให้น้องอรดี (นามสมมติ) นั้นมีอาการงอนและได้ลงไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือที่สนามเด็กเล่น ที่อยู่ในโครงการหมู่บ้านเอื้ออาทร ซึ่งตนเองได้มองอยู่ในสายตาตลอดเวลา กระทั่งเวลา 3 ทุ่มเศษก็บอกให้ลูกสาวขึ้นมาบนห้อง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมขึ้นมานอน จึงได้บอกผ่านโปรแกรมไลน์ประชดไปว่าว่าถ้าไม่มาจะล็อคห้องแล้ว แต่ก็เงียบไม่ตอบ ซึ่งตอนนั้นตนเองได้เผลอลับไปเพราะทำงานก่อสร้างมาทั้งวัน แต่ก็มาสะดุ้งตื่นช่วงเที่ยงคืน และมองไปที่ที่จัดให้ลูกสาวมานอนแต่พบว่าไม่มาจึงได้เดินลงไปหาที่สนามเด็กเล่นและได้ สอบถามเจ้าหน้าที่ รปภ.ว่าเห็นลูกสาวว่าเดินไปที่ไหนบ้าง และได้บอกสามีให้ขี่จักรยานยนต์ไปตามหาทั่วอาคารใกล้เคียงแต่ไม่พบ จนมาพบเจ้าหน้าที่ รปภ.บอกว่า ได้เก็บภาพกล้องวงจรปิดมาดูพบว่ามีรถกระบะสีบรอนซ์เงินขับมารับออกไปแล้ว
นางอุษา (นามสมมติ) บอกต่อว่า หลังจากนั้นตนเองก็พยายามที่จะขี่รถจักรยานยนต์ไปในที่นอกหมู่บ้านเพื่อจะตามมาวนดูในช่วงดึก แต่ก็ไม่พบและคิดว่าคงจะไปนอนที่บ้านญาติในอาคารถัดไปโดยอยากจะไปแจ้งความแต่ก็คิดว่ากฎหมายระบุว่าคนหายต้อง 24 ชั่วโมงจึงจะสามารถแจ้งความได้ ซึ่งทั้งคืนก็ได้ออกตามหาลูกสาวแต่ไม่พบ จนกระทั่งช่วงสายๆ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปถึงวัดแห่งหนึ่งในเขตอำเภอนครชัยศรี ซึ่งเกิดความทรมานใจเพราะไม่รู้ลูกสาวจะเป็นอย่างไร โดยได้ใช้โซเชียลเฟซบุ๊ก ตามหาลูกสาวให้คนช่วยติดตาม เพราะหมดหนทาง กระทั่งเวลาประมาณ 15.30 น. ของงวันที่ 15 พฤษภาคม ได้มีสายโทรศัพท์ของคนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง บอกว่าเอาลูกสาวมาส่งที่หน้าหมู่บ้านโครงการ เพราะเห็นลูกสาววิ่งเตลิดอยู่ที่ริมถนนเพชรเกษม จึงได้รับมาส่ง
โดยเมื่อมาพบลูกสาวตนเองทั้งดีใจทั้งตกใจเพราะสภาพลูกสาวเนื้อตัวมอมแม หัวเหม็น เสื้อยับไปหมด จึงรับขึ้นมาที่ห้องและสอบถามเค้นจนลูกสาวบอกว่าถูกชายคนหนึ่งที่พบกันใน แอพพลิเคชั่น ซึ่งเพิ่งคุยกันไม่กี่ชั่วโมงก็นัดหมายมารับบอกว่าจะพาไปกินข้าว แต่ก็ได้พาไปเข้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งและกระทำชำเราลูกสาวไป 3 รอบ ทั้งคืนก่อนช่วงเช้าจะบอกว่าจะไปข้างนอกและจะกลับมารับแต่ก็ได้ทิ้งไว้ไม่กลับมาจนลูกสาวตัดสินใจวิ่งออกมาจากโรมแรมดังกล่าว ก่อนจะมีคนมาส่ง ซึ่งตนเองได้ไปแจ้งความแล้วแต่พนักงานสอบสวนได้ออกเวรไปแล้ว จึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้และนำบุตรสาวไปตรวจร่างกายแล้วที่โรงพยาบาล โดยเสียใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นและหวังจะขอให้ตำรวจติดตามชายดังกล่าวมาดำเนินคดี ซึ่งลูกสาวได้บอกว่าการกระทำชำเรานั้นได้ทำไป 3 ครั้งโดยที่ไม่มีการสวมถุงยางอนามัย หวั่นจะติดเชื้อโรคร้ายและเชื้อโควิด รวมถึงการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ในเด็กด้วย
“เรายอมรับว่าเราผิดพลาดแต่เราต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพช่วงนี้ ซึ่งตอนแรกก็พยายามลบแอพพลิเคชั่นดังกล่าวออกจากโทรศัพท์มือถือทุกครั้งที่เจอ โดยพยายามยึดโทรศัพท์ไม่ให้เล่นเขาก็มีอาการมากเราก็ไม่กล้าจะตัดสินใจรุนแรงกลัวเขาจะสะเทือนใจเพราะเป็นปมว่าเป็นครอบครัวมีปัญหา และพยายามค่อยๆปรับพฤติกรรมแต่ก็มาเกิดเหตุเพียงชั่วข้ามคืน โชคดีที่เขายังไม่ถึงกับเสียชีวิต บทเรียนนี้แพงมาก จากวันนี้เราคงจะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีบ้าง เพื่อจะได้ติดตามพฤติกรรมลูกได้ ที่ผ่านมาน้องชายตนเองก็ติดมือถือจนไม่ยอมคุยกับใคร เราถามเขาก็บอกว่าคนในสังคมโซเชียลให้ความสุขมากกว่าคนที่เจอหน้ากันปกติทุกวัน ซึ่งลูกสาวตนเองก็เริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้เรายอมรับว่าไม่รู้เรื่องเลยไม่เข้าใจสังคมแบบนี้มากนัก” นางอุษา กล่าว
ด้าน เด็กหญิงอรดี (นามสมมติ) อายุ 13 ปี บอกว่าช่วงที่งอนแม่นั้น ได้ลงมาเล่นโทรศัพท์มือถือโดยเล่นแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบพูดคุยกันได้ โดยเปิดเป็นห้องๆไว้ให้คุย ตนเองลองค้นหาคนที่อยู่ใกล้เคียงก็พบว่ามีห้องนี้เปิดอยู่มีคนที่อยู่ในห้อง 2 คน ชาย 1 คนและหญิง 1 คน จึงได้เข้าไปคุยด้วย แต่พอคุยกันไปสักพัก ชายคนนี้ชื่อเอกชัย(นามสมมติ) ก็ได้เอาเอาชื่อของคนผู้หญิงออกจากห้องสนทนาและล็อคห้องเอาไว้ไม่ให้ใครลงชื่อมาคุยด้วยได้ คุยได้ถึงประมาณ 4 ทุ่มก็ชวนออกไปซึ่งตนเองบอกว่าหิวข้าวเพราะยังไม่ได้กินในช่วงเย็น ทางนายเอกชัย(นามสมมติ) ก็ได้บอกว่าจะมารับไปกินข้าวซึ่งไม่นานเขาก็มารับจริงๆ ตนเองก็ได้ออกไปด้วย
เด็กหญิงอรดี (นามสมมติ) บอกอีกว่า แต่เมื่อออกไปแล้วเขาก็พาไปที่ห้องเช่าของเขาตนเองนั่งรอในรถไม่ได้ลงไปสักพักเขาก็กลับมาแล้วก็บอกว่าจะไปกินข้าว แต่ก็พาเข้าไปที่โรงแรมม่านรูดซึ่งอยู่ริมถนนเพชรเกษมฝั่งเดียวกับหมู่บ้านโครงการที่อยู่กับแม่ แล้วเข้าซอยไปสักพัก เมื่ออยู่ในห้อง 2 คน นายเอกชัย(นามสมมติ) ก็ได้พยายามจะมากอดจูบตนเองก็ได้พยายามบอกว่าอย่าทำแต่ก็ไม่สำเร็จ นายเอกชัยได้ทำตนเองไป 2 ครั้ง ตั้งแต่ 4 ทุ่มกว่าถึงประมาณเที่ยงคืน และช่วงตี 4 อีก 1 ครั้งก่อนที่จะออกไปโดยบอกว่าให้รอช่วง 4 โมงเช้าจะมารับ แต่พอเวลาผ่านไปถึงบ่าย 3 โมงก็ไม่มาตนเองจึงได้ตัดสินใจ วิ่งหนีออกมาจากโรงแรมและเดินหาทางกลับบ้านกระทั่งมาพบรถวินรับจ้างจึงขอให้ไปส่งที่บ้านแม่ โดยตนเองเล่นแอพลิคั่นนี้มาแล้ว 2 ปี ก็มีการพูดคุยกับคนในแอพลิคั่นมาตลอดก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร มีแต่ช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมาเขามารับไปก็ออกไป ซึ่งตอนนี้ก็กลัวชายคนดังกล่าวไม่อยากเจอหน้าชายคนนี้แล้ว
ทั้งนี้ หลังจากการสอบถามข้อมูลเสร็จสิ้น เด็กหญิงอรดี (นามสมมติ) ได้เปิดแอพพลิคเคชั่นดังกล่าวเพื่อจะติดตามหาตัวนายเอกชัย (นามสมมติ) แต่พบว่าบล็อกรายชื่อของ เด็กหญิงอรดี (นามสมมติ)ไปแล้ว ซึ่งเมื่อเอาหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ทำการลงชื่อเข้าไปก็พบว่ามีการปรากฏภาพใบหน้าของชายคนดังกล่าว และทางเด็กหญิงอรดี (นามสมมติ) บอกว่าเป็นชายคนที่พาตนเองไปในคืนนั้นโดยมีรอยสักอยู่ต้นแขนด้านขวาด้วย ซึ่งทั้งแม่ลูกกำลังรอการติดตามชายคนนี้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป