เมื่อวันที่ 15vพ.ค.นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.จังหวัดสงขลา เขต 7 พรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่เรือนจำอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา พร้อมหารือเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ในเรือนจำ กับผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอนาทวี นายปุณณรัตน์ อภิรัตนพันธุ์ โดยการหารือในครั้งนี้ มีการวางแผนจะฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำอำเภอนาทวี ในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 64 เวลา 09.00 น. เพื่อความปลอดภัยของผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ในเรือนจำทุกคน อีกทั้งเพื่อความสบายใจ ของญาติ และชาวนาทวี ซึ่งในเรือนจำนี้มีเฉพาะผู้ต้องขังชาย ประมาณ 2,500 คน เท่านั้น สำหรับเรือนจำนาทวี รับผิดชอบพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ สะเดา, นาทวี, สะบ้าย้อย, เทพา และ จะนะ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย ทั้งยังเป็นจุดเสี่ยงสำหรับการแพร่และรับเชื้อโควิด-19 ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำเป็นห่วงผู้ต้องขังรายใหม่ที่จะเข้ามา เกรงจะมีสิทธิ์เสี่ยงติดโควิด-19 มากกว่ารายเก่า อย่างไรก็ตาม ทางผู้บัญชาการเรือนจำได้บอกว่า กำลังพยายามจัดพื้นที่ที่เหลือสำหรับผู้ต้องขังที่เข้ามาใหม่ โดยใช้เป็นสถานที่ดูอาการ 2-4 วัน ก่อนจะเข้าแดนปกติ
"วันนี้นโยบายของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้เรือนจำแต่ละแห่งดำเนินการป้องกันโควิด-19 ของแต่ละเรือนจำ ให้มีการออกมาตรการเข้มงวดอย่างสูงสุด เพราะฉะนั้น ตนเองในฐานะที่เป็น ส.ส. ได้เห็นปัญหาในพื้นที่ สิ่งที่ขาดก็คือความมั่นใจ วันนี้ชาวบ้านจับจ้องว่า ผู้ต้องขังแม้จะอยู่ในเรือนจำก็จริง แต่คิดว่าจุดนี้อาจจะเป็นจุดเสี่ยงในอนาคตได้ เราก็ต้องเข้าไปสนับสนุนในเรื่องของรถแอร์บัส และเครื่องพ่นฉีดยาฆ่าเชื้อ เข้าไปทำการฉีดภายในทุกแดน และบริเวณเรือนจำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่ และเรือนรับรอง วันนี้สิ่งที่พวกเราต้องร่วมมือกัน คือ ทุกฝ่ายต้องสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้าน เพราะฉะนั้นขอให้ญาติพี่น้องประชาชนของผู้ต้องขัง ไม่ต้องกังวลใจ เราจะดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่ และต้องปลอดภัย อีกทั้ง ขอให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ข้างนอกเรือนจำ เกิดความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นชาวนาทวี และอีก 4-5 อำเภอ ต้องรู้สึกปลอดภัยเช่นกัน" นายณัฏฐ์ชนน กล่าว
ปัจจุบันผู้ต้องขังที่ศาลตัดสินดำเนินคดีมีน้อยลง อีกทั้งศาลได้มีการเลื่อนการตัดสินคดีส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ผู้บัญชาการเรือนจำเป็นกังวลที่สุดคือ ผู้ต้องขังรายใหม่ จำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบอย่างรัดกุมให้มากที่สุด เพราะถ้าหากเกิดติดโควิด-19 เพียงแค่รายเดียว ก็จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว และอาจจะติดทั้งหมด
ขณะที่เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มีการประชุมกับความมั่นคง อาทิ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ให้ตึงแนวตั้งแต่ ปาดังเบซา อ.สะเดา จนไปถึง อ.นาทวี ซึ่งเป็น 3 ด่านของจังหวัดสงขลา ที่เป็นช่องทางธรรมชาติเกือบ 60 กิโลเมตร เพราะฉะนั้น จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องคนไทยที่เดินทางไปทำงานประเทศมาเลเซียว่า หากต้องการกลับประเทศขอให้ท่านเข้าสู่กระบวนการโดยผ่านเอกอัครราชทูต หรือกงสุล ถ้าผ่านช่องทางธรรมชาติ คือผิดกฎหมาย ผิดประกาศจังหวัด และยังเป็นการเอาระเบิดกลับเข้ามาให้ลูกหลาน และครอบครัวของท่านเอง จึงขอร้องให้เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยให้ถูกต้องตามกฎหมายดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม จังหวัดสงขลา แม้ว่าจะมี State quarantine มากพอสำหรับการรองรับผู้ที่เดินทางเข้ามา อีกทั้งยังมีโรงแรมจำนวนมาก แต่สิ่งที่ทางจังหวัดยังขาดแคลน และมีไม่เพียงพอต่อความต้องการนั่นคือ ชุด PPE, เฟซชิลด์, รองเท้าบูธ, น้ำยาฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรค ที่จะสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์, ตำรวจ, ทหาร, อสม., จิตอาสา และเจ้าหน้าที่กู้ภัย บางครั้งเขาเหล่านั้นยากลำบากต่อการเข้าไปดูแลกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ ซึ่งทางภาครัฐไม่ได้มีมาตรการในด้านการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรืออุปกรณ์คอยสนับสนุนมากพอต่อความต้องการ โดยการทำงานส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นของเอกชน มูลนิธิ องค์กร และเงินส่วนบุคคลเป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็สามารถที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้เป็นวงกว้าง อย่างไรก็ดี ชาวบ้านในอำเภอต่างๆ ยังคงต้องการความมั่นใจจากภาครัฐมากกว่า ว่ามีอุปกรณ์ และความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะวัคซีนที่จะนำมาฉีดให้กับประชาชน จะมีความครอบคลุมถึงชาวบ้านรากหญ้าหรือไม่ ส.ส.ณัฏฐ์ชนน กล่าว