เมื่อวันที่ 14 พ.ค.64 พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปอท. พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน, พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส ผกก.4 บก.ปอศ. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) , เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันทลายเครือข่ายบริษัทชื่อดังหลอกลวงนักลงทุนกว่า 1,000 ราย ให้ร่วมลงทุนกับทางผู้ต้องหาความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท สืบเนื่องมาจาก ได้มีกลุ่มผู้เสียหายเข้าเเจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ว่าถูกนายประสิทธิ์ฯ (ผู้ต้องหา) กับพวก ร่วมกันชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนในหลายรูปแบบ ซึ่งกำหนดผลตอบแทนเป็นกำไรที่สูงเกินความเป็นจริงที่บริษัทฯ จะสามารถประกอบกิจการนำเงินในส่วนของผลกำไรมาจ่ายผู้เสียหายได้ ซึ่งเป็นการจูงใจให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก และต่อมาภายหลัง กลุ่มผู้ต้องหาไม่สามารถจ่ายผลตอบเเทนและเงินลงทุนคืนให้ผู้เสียหายได้ตามกำหนด ผู้เสียหายได้ติดต่อทวงถามขอเงินต้นที่ร่วมลงทุนคืน แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ผู้เสียหายจึงรวมกลุ่มกันมาเเจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งจากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า มีผู้เสียหายและนักลงทุนที่ถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนหลาย 1,000 ราย และพบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหามีรูปแบบการชักชวนให้ลงทุนหลายรูปแบบ ดังนี้ รูปแบบที่ 1 เป็นการชักชวนให้ผู้เสียหายนำบัตรเครดิต หรือเงินสด มาลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์กับทางบริษัททัวร์ของผู้ต้องหา โดยในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่ประสงค์จะใช้เเพ็กเกจทัวร์ดังกล่าว ผู้ลงทุนสามารถนำเงินมาลงทุนหมุนเวียนกับทางบริษัทในรูปแบบอื่นได้ และในส่วนของผลตอบแทนจะเป็นไปตามที่บริษัทฯ นำเสนอโดยมีรูปแบบการลงทุน ทั้งแบบ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 10 เดือน รูปแบบที่ 2 เป็นการชักชวนให้ลงทุนโดยให้โอนเงินฝากเข้าบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์การค้าธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสานของผู้ต้องหา โดยอ้างว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 115 -15 เปอร์เซ็นต์ ต่อการลงทุนในระยะเวลา 39 วัน รูปแบบที่ 3 เป็นการชักชวนให้ลงทุนซื้อทองคำจากร้านจำหน่ายทองคำทั่วไป และให้นำทองคำพร้อมใบเสร็จมาลงทุนตามโปรโมชั่นของบริษัทฯ โดยยอดการลงทุนคำนวณจากราคาทองคำตามที่ระบุในใบเสร็จ และมีการเสนอผลกำไร 43.5 เปอร์เซ็น โดยจะแบ่งจ่ายกำไรเป็น 2 งวด พร้อมกับมีการแบ่งจ่ายคืนเงินต้นเป็นงวดๆ รวม 10 งวด รูปแบบที่ 4 เป็นการชักชวนให้ลงทุนเงินสดหรือทองคำในระบบกองทุนส่วนตัวของนายประสิทธิ์ฯ เป็นระยะเวลา 21 วัน เสนอผลตอบแทน 9.5 เปอร์เซ็น โดยให้ผู้ลงทุนโอนเงินเข้าบัญชีนายประสิทธิ์ฯ หรือ บัญชีบริษัทของผู้ต้องหา กรณีเป็นบัตรเครดิต ผู้ลงทุนจะต้องนำบัตรเครดิตไปรูดซื้อทองคำจากร้านจำหน่ายทองคำทั่วไป พร้อมนำทองคำและใบเสร็จมาทำสัญญากับบริษัทของผู้ต้องหา รูปแบบที่ 5 เป็นการชักชวนให้ลงทุนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากร้านในเครือข่ายของผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาจะเสนอให้ผู้ซื้อปล่อยเช่ากระเป๋า โดยเสนอผลตอบแทนประมาณ 43.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 10 เดือน ของราคากระเป๋าที่ลงทุน โดยผลตอบแทนทางร้านค้าจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 2 ครั้ง พร้อมกับมีการจ่ายเงินค่ากระเป๋า (จำนวนเงินที่ลงทุน) เป็นงวดๆ รวม 10 งวด และเนื่องจากรูปแบบในการก่อเหตุของกลุ่มผู้ต้องหา มีความยุ่งยากสลับซับซ้อน มีลักษณะการกระทำความผิดในรูปของขบวนการ หรือกลุ่มบุคคล และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก จึงถือว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีความสำคัญ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก./หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. และ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปอท. จัดชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหามาดำเนินคดี ซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวน จนทราบตัวเครือข่ายหลอกลวงนักลงทุน ดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับนายประสิทธิ์ฯ กับพวก ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” รวมผู้ต้องหาตามหมายจับจำนวน 6 ราย โดยในวันที่ 13 พ.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. พร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. ได้ดำเนินการตรวจค้นเป้าหมายทั้งหมด 9 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวน 4 ราย 1. น.ส.ณัฐวรรณ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 751/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.64 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” 2. น.ส.สิริมา (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 754/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.64 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” 3. นายกิตติวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 752/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.64 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” 4.พ.ท.พญ.อมราภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” นอกจากนี้ในระหว่างการตรวจค้นจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถจับกุมนายวิมกริช (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ในความผิดตาม พรบ.อาวุธปืนฯ ได้ที่ห้องพักในโรงเเรมแห่งหนึ่ง เเขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ พร้อมกับ น.ส.ณัฐวรรณฯ (ผู้ต้องหาในคดีนี้) และสามารถตรวจยึดพยานเอกสารพร้อมพยานหลักฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเเละเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอีกจำนวนหลายรายการ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมพยานหลักฐาน นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีการจับกุมอีก 2 ราย คือ 1.นายประสิทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 749/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.64 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” 2 .นายกิตติศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 750/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.64 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหากประชาชนท่านใดมีเบาะเเสเกี่ยวกับผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอยู่ ท่านสามารถเเจ้งข้อมูลเบาะเเสที่เป็นประโยชน์ เข้ามาได้ที่ บก.ป. หรือ บก.ปอศ. ในส่วนของผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของกลุ่มผู้ต้องหา ท่านสามารถรวบรวม พยานหลักฐาน ติดต่อเข้าเเจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ.