บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น) ทีมงานเคยวิพากษ์การบริหารราชการส่วนภูมิภาคและราชการส่วนท้องถิ่นมาก่อนหน้าแล้ว เห็นว่าในช่วงของการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการปกครองนั้นจำเป็นที่ต้องหันมาทบทวนของเดิม ของเก่าที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการพัฒนาด้านการเมืองการปกครอง และการพัฒนาประเทศ เพราะในมิติของการพัฒนา (Development) นั้นจะเน้นในด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ จำเป็นต้องพัฒนาแบบบูรณาการ แบบองค์รวม (Integrated & Holistic Development) เป็นการมองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบบูรณาการ และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาในมิติต่างๆ เช่น (1) มิติด้านสังคม (2) มิติด้านเศรษฐกิจ (3) มิติด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร มาเปิดประเด็นการวิพากษ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition period) ดูจุดอ่อนจุดด้อย (Weak & limited) หรืออุปสรรคขัดขวาง (Threats) ในราชการบริหารส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดยมีประเด็นหลัก (Main Issue) ว่า ประเทศไทยสูญเสียระบบกันหมดทั้งหมู่บ้านและตำบล ทำให้ประเทศขาดพัฒนาทางการเมือง จริงหรือไม่ อย่างไร (1) เรามีผู้นำท้องถิ่น (Head villager) ระดับหมู่บ้านที่มีหลายคน และหลากหลายขั้ว คือ มี สมาชิกสภา อบต. 2 คน (คราวหน้าเลือกตั้งฯ เหลือเพียงหมู่บ้านละ 1 คน) มีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่ 2 คน (อาจมี ผรส.หรือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ อีก 1 คน) รวมแต่ละหมู่บ้านจะมีผู้นำ 5- 6 คน (2) ผู้นำในระดับตำบล ฝ่าย “ปกครองท้องที่” ได้แก่ กำนัน 1 คน สารวัตรกำนัน 2 คน แพทย์ประจำตำบล 1 คน “ฝ่ายท้องถิ่น” ได้แก่ นายก อบต./เทศบาล 1 คน รองนายก 2 คน มีเลขาฯนายก (เทศบาลมีที่ปรึกษานายก) มีที่ทำการ อบต. /สำนักงานเทศบาล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ราว 20-30 คน (คิดเฉพาะตำบลเล็กๆ) เพราะฉะนั้นใน 1 ตำบลจะมี เจ้าหน้าที่รัฐทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง รวมๆ แล้วกว่า 40-50 คน เช่นกัน บุคคลเหล่านี้ย่อมมีสังกัดทางการเมือง ที่อาจหลากหลายขั้วเหมือนดังเช่นหมู่บ้าน (3) จากข้อ (1) ข้อ (2) ข้างต้น รัฐต้องจ่ายเงินเดือนค่าตอบแทน ในแต่ละเดือนเป็นจำนวนมาก หากคิดเฉลี่ยคนละ 10,000 ต่อเดือน ก็ตกเดือนละ ไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท ต่อ 1 ตำบล (เล็กๆ) (4) ลองมาสังเกตบุคคลตามข้อ (3) ว่า บุคลากรเหล่านี้ได้ทำงานอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนังมีผลงานอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลบ้าง ได้ทำงานเต็มที่ เต็มฝีมือ อย่างจริงจัง แข็งขัน เต็มกำลังความสามารถ อุทิศตัว เสียสละ สร้างสรรค์ มีสำนึกรับผิดชอบ มีอุดมการณ์ มีคุณธรรม จริยธรรม ไม่คดไม่โกง ฯลฯ ในการทำงานเพียงใด หรือว่า ทำงานตามนายสั่ง คนสั่ง ตามใบสั่ง หรือทำงานไปวันๆ ทำงานเอาหน้า เอาผลงาน ทำงานแบบขี้โกงฯ หรือทำงานด้วยจิตวิญญาณพิทักษ์ปกป้องช่วยเหลือประชาชน (5) พฤติกรรมผู้บริหารท้องถิ่นมีแบบนี้เพียงใด หรือไม่ เช่น คิดแต่เรื่องสร้างทางสร้างถนนหนทาง เพื่อหาส่วนลดส่วนต่าง เงินทอน จากโครงการฯ เป็นผู้รับเหมา ผู้ประสานผลประโยชน์ทับซ้อนฯลฯ มีโครงการเพื่อปากเพื่อท้องของชาวบ้าน โครงการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ สวัสดิการ สงเคราะห์ ช่วยเหลือประชาชน ฯลฯ มีหรือไม่ เพียงใด (6) ลองหันมาดูข้าราชการพนักงานส่วนท้องถิ่นฝ่ายประจำในพื้นที่ มีพฤติกรรมเหล่านี้เพียงใด หรือไม่ เช่น มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งแยกพวกมึงพวกกู เด็กใครเด็กมัน ตามสายการเมืองที่มีในท้องถิ่น ข้าราชการคนใดใครเลือกนายมาถูกก็เป็นพวกเดียวกัน ใครเลือกผิดไม่ได้นายที่มาใหม่ เขาก็หมายหัวจ้องเอาเรื่อง ไม่เติบโต ทำงานติดขัดไปหมด ฯลฯ เป็นต้น (7) ลองย้อนไปดูการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นกัน (การเลือกตั้ง ส.ส. และการเลือกตั้ง อปท.) สักนิดว่า มีอย่างนี้หรือไม่ เพียงใด เช่น สังคมท้องถิ่นแตกแยกกัน มีขั้วมีพวก การเลือกตั้งมีจ่ายหัวคะแนน จ่ายผู้ลงคะแนน (ซื้อเสียง : Vote buying) เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน (8) คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนรับใช้ท้องถิ่นมีคุณสมบัติที่เหมาะสม (Qualifying) มีวุฒิภาวะ เป็นที่ยอมรับของสังคมเพียงใด เป็นผู้มีประสบการณ์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ (Experience & Expert) มีชื่อเสียง (Well known) มีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม (Moral & Ethics) มีลักษณะเป็นผู้มีอิทธิพล ใหญ่โต นักเลง ฯลฯ (9) กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ (ฝ่ายปกครองในพื้นที่) กำนันได้ตำแหน่งมาเพราะเข้าซื้อเสียงผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ เพราะระบบการเลือกสรรที่เอื้อต่อการซื้อเสียงมาก โดยให้ผู้ใหญ่บ้านเลือกกันเองเป็นกำนัน ซึ่งได้ยกเลิกการให้ประชาชนเลือกกำนันไปแล้ว และเมื่อได้ตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ถือว่าตนเองมีอำนาจ สังเกตจากคราวประชุมตำบล หมู่บ้านแต่ละครั้ง มีการขู่ ชี้นำฯ เพียงใด หรือไม่ ผู้ร่วมประชุมหรือชาวบ้านโต้แย้งอะไรได้บ้างหรือไม่ ก็เพราะตำแหน่งกำนันผู้ใหญ่ฯ รุ่นใหม่จะมีวาระอยู่จนเกษียณอายุ 60 ปี ชาวบ้านจะเปลี่ยนตัวจะเลือกคนใหม่ไม่ได้ ส่วนผู้ใหญ่บ้านก็เช่นกัน เหมือนกัน อยู่จนเกษียณ ก็มีคนยอมลงทุนจ่ายเงินซื้อมาเป็นล้านได้ การถอนทุนคืน คืนทุนจึงเป็นเรื่องปกติ เช่น หาเศษหาเลยกับเงินโครงการงบประมาณแผ่นดิน ทั้งเป็นหน้าม้า หรือทำเอง หรือเป็นนอมินี หรือร่วมมือกับนักการเมือง และ/หรือผู้รับเหมาทำทุกอย่าง เพราะเนื้องานโครงการอาจได้สัก 40-50% เท่านั้น เป็นต้น (10) จากข้างต้นจะเห็นว่าระบบมันมีช่องว่าง เปิดช่องว่างให้ใช้ระบบอุปถัมภ์ ขาดหลักการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส ตรวจสอบ ได้ ตามระบบคุณธรรม ระบบธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance) (11) ข้อสังเกตเช่น กรณีแพทย์ประจำตำบล ที่อยู่จนเกษียณมาแต่เดิม (กฎหมายไม่ได้แก้ไขวาระ) เป็นภารกิจงานที่แทบไม่มีประโยชน์ ซ้ำซ้อนกับงาน อสม. ที่มีอยู่แล้วทุกหมู่บ้านทุกตำบลแล้ว จำนวนมากถึง 1.05 ล้านคน แถมยังมีผลงานสู้ อสม. ในหมู่บ้าน ตำบลไม่ได้เลย เพราะ แพทย์ประจำตำบลบัญญัติไว้ในกฎหมายเพื่อช่วยเหลือกำนัน กรมการเมือง (นายอำเภอ) ในสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญ การคมนาคมยังไม่สะดวก ทั่วประเทศมีแพทย์ประจำตำบล 7,255 ตำบล รัฐจะเสียเงินค่าตอบแทน (เงินเดือน) ไปเยอะมาก หากคิดคนละ 5,000 บาทต่อเดือน จะตกถึงเดือนละไม่น้อยกว่า 36 ล้านบาท นี่ยังไม่คิดรวมผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรกำนันอีก ที่ใช้งบประมาณมากมายเป็นจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน แต่ผลงานที่ได้จากคนกลุ่มนี้มีน้อยกว่า อปท.เสียอีก ปัจจุบันแพทย์ประจำตำบลแทบไม่มีผลงานใด ฉีดยาหมาแมวก็ยังไม่ได้ทำ แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า ปัจจุบัน สมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ ได้เรียกร้องขอขึ้นเงินค่าตอบแทนฯ (เงินเดือน) และสวัสดิการอื่น เช่น การรักษาพยาบาล และการแต่งเครื่องแบบหลังเกษียณอายุ ซึ่งสวนทางกับแนวทางการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ มิใช่ท้องถิ่น แต่เป็น “บุคลากรของราชการส่วนภูมิภาค” ที่เรียกว่า “ท้องที่” (12) โลกปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ คนมีวุฒิการศึกษาสูงๆ มีมาก แต่มิได้หมายความว่าคนมีคุณวุฒิการศึกษาสูงจะมีคุณธรรม มีความรู้ หรือเก่งกว่าคนมีวุฒิการศึกษาต่ำกว่า เพียงแต่ การศึกษาทำให้คนได้มีความคิดที่สร้างสรรค์กว่า เรื่องวุฒิการศึกษาจึงจำเป็น เช่น มีวุฒิการศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท เป็นต้น ฉะนั้น ผู้นำท้องถิ่นควรมีวุฒิการศึกษาให้สอดคล้องกับสังคมโลกโซเชียลสมัยใหม่ (ยุค Digital) ต้องรู้ทันโลกออนไลน์ โลกดิจิทัล อีเมล ไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ คลับเฮาส์ ฯลฯ เพราะมิเช่นนั้นจะสื่อสารกับเด็กคนรุ่นใหม่รุ่น เจน Z (คนรุ่นดิจิทัล) เจน Y (คนรุ่นมิลเลนเนียม ที่รู้เทคโนโลยีดี) ทำให้พูดคุยกับคนรุ่นเจนหลังๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะ สื่อสารพูดและทำงานกันคนละภาษา จึงเป็นปัญหาของ "ช่องว่างระหว่างวัยระหว่างรุ่น" (Generation Gap) เพราะคนที่ทำงานการเมืองท้องถิ่นรวมทั้งคนที่ทำงานท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ) ให้รัฐนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่น เจน X เจน Baby Boomer เป็นข้อสังเกตที่ยังมีปัจจัย (Factor) อื่นทั้งภายใน และภายนอก (ภาวะแวดล้อม) อีกหลายปัจจัยที่ยังมิได้กล่าวถึง เช่น ความเหลื่อมล้ำ (Inequality) การกระจายรายได้ (Distribution) การกระจายอำนาจ (Decentralization & Devolution) รวมถึงสวัสดิการแห่งรัฐ (Social welfare & Welfare state) ฯลฯ เป็นต้น การเมืองการปกครองไทย เมื่อไหร่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนากันบ้าง คงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงกันแล้วมั้ง ไม่ลองพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสดูกันบ้าง หรือว่าจะรอกันอีกยาว