คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ขณะนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวการเมืองของสหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่ทั้งสองค่ายพรรคต่างก็ขะมักเขม้นเตรียมตัวลงช่วงชิงเก้าอี้ในรัฐสภา ที่จะมีการเลือกตั้งกลางสมัยในอีก 17 เดือนข้างหน้าคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022
ทั้งนี้การเลือกตั้งกลางสมัยจะมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีคนใหม่ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวผ่านไปสองปี โดยสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้ง 435 คน ก็จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด และสำหรับปีนี้วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกัน 20 คนและวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครต 14 คนก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาเหล่านั้นอยู่ครบวาระหกปีแล้ว!!!
และเท่าที่ผ่านมาช่างเป็นปริศนาพาให้คิดเสียเหลือเกิน สืบเนื่องมาจากพรรคที่มีประธานาธิบดีดำรงอยู่ในตำแหน่ง พรรคนั้นมักจะแพ้การเลือกตั้ง และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆหมายถึง พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะต้องพบกับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งนั่นเอง
โดยขณะนี้พรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากครองเก้าอี้ในสภาผู้แทนมากกว่าพรรครีพับลิกันเพียง 10 เสียงโดยสูญเสียที่นั่งไป 13 เสียงจากการเลือกตั้งคราวที่แล้วทั้งๆที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งและมีคะแนนเสียงนำเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 7.1 ล้านเสียง ด้วยซ้ำไป
สำหรับจำนวนที่นั่งในวุฒิสภานั้น ปรากฏว่าพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมีเสียงเท่ากับคือ 50:50
ดังนั้นหากจะวิเคราะห์กันแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปรียบเสมือนกำลังอยู่ในช่วงอันตราย เพราะไม่ว่าจะเอ่ยปากขอความร่วมมือจากพรรครีพับลิกันเมื่อใดก็ตาม ต้องพบแต่ความผิดหวังล้มเหลวแทบทุกครั้ง
ส่วนแชมป์เก่าอันได้แก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้ก็กำลังเร่งสร้างสมบารมีเพราะเขาต้องการรวบอำนาจให้พรรครีพับลิกันอยู่ในกำมือของเขาอย่างแนบแน่น ดังนั้นหากมีนักการเมืองในพรรครีพับลิกันหน้าไหนคนหนึ่งคนใดพยายามแข็งข้อออกนอกลู่นอกทาง ประธานาธิบดีทรัมป์จะหาทางกำจัดหรือปลดออกจากตำแหน่งในทันทีทันใด!!!
ดังจะเห็นได้จากในกรณีของ “ส.ส.ลิซ เชนีย์” ซึ่งมีตำแหน่งสำคัญสูงเป็นอันดับสามของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนฯ โดยเธอเคยร่วมพลังจับมือกับเพื่อนสมาชิกอีก 9 คนลงมติถอดถอนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ด้วยความผิดในข้อหายุยงส่งเสริมปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนตัวเขาบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อขัดขวางกระบวนการประกาศรับรองชัยชนะของโจ ไบเดนในการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยถือได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ คือประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาที่ถูกสภาผู้แทนราษฎรมีมติถอดถอนถึงสองครั้งสองครา
อนึ่งในการลงมติถอดถอนครั้งแรกนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 ในสองข้อหาคือ ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส
อนึ่งในการลงมติถอดถอนในครั้งที่สองนั้น ส.ส.ลิซ เชนีย์ อ้างว่าประธานาธิบดีทรัมป์ทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการลงมติของเธอในครั้งนั้น ปรากฏพบเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธแค้นเป็นอย่างมาก ที่เขาพยายามที่จะคิดบัญชีเอาคืนหาทางปลดเธอออกจากตำแหน่งให้จงได้!!!
ทั้งนี้จุดแตกหักที่บังเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับส.ส.ลิซ เชนีย์ ได้กลายเป็นจุดเดือดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยส.ส.ลิซ เชนีย์ ก็หาได้เกรงกลัวไม่ โดยเธอได้ออกมากล่าวท้าทายประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับเลือกตั้งมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” และเธอยังเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2021นี้ว่า “ขณะนี้พรรครีพับลิกันกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อว่า จะสัตย์ซื่อพูดความจริงตามหลักรัฐธรรมนูญหรือไม่”
ทั้งนี้ส.ส.ลิซ เชนีย์ ยังได้เปิดฉากเท้าความอธิบายต่อไปอีกว่า “เมื่อวันที่ 13 มกราคม2021 ที่ผ่านมาไม่กี่เดือนนี้ “ส.ส.เควิน แม็คคาร์ธี”ผู้นำฝ่ายค้านสังกัดพรรครีพับลิกัน (ซึ่งถือว่าเป็นนายของเธอ) ก็ได้ออกมากล่าวประณามต่อประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกันว่า “จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่ม็อบฝูงชนแห่บุกเข้าสู่รัฐสภา” และเธอยังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่า ส.ส.เควิน แม็คคาร์ธี พลิกลิ้นแอบกลืนน้ำลายตัวเองเปลี่ยนท่าทีใหม่ไปเสียแล้ว”
และแล้ว ส.ส.ลิซ เชนีย์ก็ได้ตั้งคำถามออกมาว่า “หรือพวกเราในพรรครีพับลิกันจะยังคงสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ที่ต้องการจะพลิกผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 กันอีกต่อไป?”
ในตอนท้าย ส.ส.ลิซ เชนีย์ ได้เขียนลงในบทความที่อ่านแล้วแสนแสบกินเข้าไปในหัวใจว่า “พวกเราจะยังคงธำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ และหลักการอนุรักษนิยมอันดีของพรรครีพับลิกันเหมือนดังเดิม หรือจะเดินตามรอยลัทธิที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากระทำย่ำยีแอนตี้ระบอบประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตามหากพวกเราต้องการจะปกป้องสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยแล้วละก็ พวกเราจำต้องผนึกพลังออกมาแสดงความกล้าหาญ สลัดตัวให้หลุดพ้นออกจากลัทธิของประธานาธิบดีทรัมป์”
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ส.ส.ลิซ เชนีย์ ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆอย่างถี่ๆติดต่อกันว่า “การที่ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งนั้น ถือว่าเป็นการกล่าวโป้ปดมดเท็จโกหกคำโต (Big Lie)”
จากการออกมาแสดงจุดยืนอย่างแน่วแน่กล้าหาญของส.ส.ลิซ เชนีย์ มีผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ แค้นจุกอกอดรนทนไม่ได้ตัดสินใจสั่งปลดเธอออกจากตำแหน่งอันทรงอิทธิพลอันดับสามในสภาผู้แทนฯ โดยเขาต้องการผลักดันให้ “ส.ส.เอลิซ สเตฟานิค” สมาชิกผู้แทนฯจากรัฐนิวยอร์กเข้าไปแทนที่ และไม่รอช้าเมื่อโอกาสดีงามมาถึงส.ส.หญิงผู้นี้จึงเริ่มรณรงค์หาเสียงเพื่อช่วงชิงตำแหน่งนั้นในทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอเคยสนับสนุนส.ส.ลิซ เชนีย์ อย่างแข็งขัน
และยังปรากฏอีกว่า ส.ส.เควิน แม็คคาร์ธี ที่นอกจากจะไม่มีอุดมการณ์ที่มั่นคงแล้ว เขายังแสดงท่าทีลิ้นกระดาษทรายน้ำลายเชลแล็กวิ่งรอกไปออกตามรายการต่างๆ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามถึงความจำเป็นที่จะต้องสั่งปลดส.ส.ลิซ เชนีย์ ออกจากตำแหน่ง ตามความต้องการของประธานาธิบดีทรัมป์ผู้เป็นนายใหญ่ของเขานั่นเอง
อนึ่งการปลดส.ส.ลิซ เชนีย์ ออกจากตำแหน่งคงจะไม่จบลงง่ายๆ เรื่องราวคงจะบานปลายจนปลายบานอย่างแน่นอน เพราะยังมีนักการเมืองในพรรครีพับลิกันอีกกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยที่จะสั่งปลดเธอออกจากตำแหน่ง แถมยังมีผู้บริจาคพ่อยกแม่ยกรายใหญ่ๆอีกมากมายหลายรายที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์
จะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดเลยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มิได้สร้างแต่ความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในพรรครีพับลิกันและในสังคมเพียงอย่างเดียว แต่เขายังมีเรื่องที่แสนจะยุ่งเหยิงพัลวันอีกมากมายหลายเรื่องดังเช่น การที่เขาเข้าไปอยู่เบื้องหลังสั่งให้มีการนับคะแนนใหม่อีกรอบในรัฐแอริโซนา ทั้งๆที่เรื่องราวนี้ได้จบไปตั้งนมนานแล้ว โดยขณะนี้กระทรวงยุติธรรมกำลังดำเนินการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลอยู่และยังวางแผนที่จะมีการนับคะแนนใหม่ในรัฐอื่นๆอีกด้วยทั้งๆที่เขาพ่ายแพ้ 60 กว่าคดีและอีกสองคดีที่ส่งไปยังศาลสูงสุดด้วย!!!
อีกทั้งคณะกรรมการบอร์ด 20 คนที่มีหน้าที่ดูแลเฟสบุ๊คได้มีมติให้คงการตัดสินดังเดิมที่สั่งห้ามมิให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เข้าใช้งาน รวมทั้งเว็ปไซต์ “อินสตาแกรม” ด้วยเช่นกัน สืบเนื่องมาจากกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกกล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลังการก่อจลาจลให้ม็อบฝูงชนบุกรัฐสภาสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์ยังวางแผนที่จะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 โดยฐานอำนาจของเขา 70% ยังเชื่อว่าเขาถูกโคงเลือกตั้งเมื่อคราวที่แล้วและพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่
อีกทั้งวุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลลผู้นำของพรรครีพับลินในวุฒิสภาได้กล่าวย้ำตลอดเวลาว่า “ข้าพเจ้าจะต่อต้านนโยบายและโปรแกรมทุกโปรแกรมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน 100%”
อนึ่งสำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดนนั้นเขาได้สร้างผลงานมากมายทั้งทางด้านภายในและต่างประเทศในช่วงหนึ่งร้อยวันกว่าๆที่ผ่านมา ไม่เคยหยุดนิ่งในการทำความดี วางตนเป็นสุภาพบุรุษ แต่งตัวเนี๊ยบ พูดอะไรออกมาก็น่าฟังสมเหตุสมผล ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เดินทางพบประชาธนอยู่ประจำโดยสตรีหมายเลขหนึ่งก็ได้เดินทางเยือนประชาชนไม่หยุดนิ่งเช่นกัน อีกทั้งประธานาธิบดีไบเดนได้ยึดเอาตัวบทกฎหมายเป็นหลัก วางตัวเหมาะสมกับเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจอีกทั้งยังพร้อมที่จะประนีประนอมกับนักการเมืองของพรรครีพับลิกันเพื่อขับเคลื่อนนโยบายต่างๆเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ จึงไม่แปลกอะไรที่คะแนนนิยมค่อยๆขยับขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นขณะนี้ผู้นำของแกนนำของพรรครีพับลิกันกำลังแตกกัน โดยฝ่ายประธานาธิบดีทรัมป์ยึดเอาความโป้ปดมดเท็จเป็นจุดขาย แต่กลับถูกท้าทายโดยลิซ เชนีย์นักกฎหมายที่จบจากมหาวิทยาลัยชิคาโกที่ชูธงยืดมั่นในความถูกต้อง รักษาสัจจะและความมีจิตสำนึก และหากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการจะประคองตัวรักษาตำแหน่งแชมป์เอาไว้ให้ได้นั้นเขาจำต้องเพิ่มคะแนนนิยมเกิน 60% ขึ้นไปโดยขณะนี้คะแนนนิยมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 54% และโอกาสที่จะพลิกล็อกการเลือกตั้งกลางสมัยย่อมเกิดขึ้นได้ และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปดูเหมือนว่าเขาจะต้องพิถีพิถันทำงานโดยห้ามสะดุดทำผิดติดขัด มิเช่นนั้นแล้วละก็ตำแหน่งแชมป์อาจจะหลุดมือเสียไปอย่างไม่ยากเย็นนักละครับ