ผู้ค้าไข่ไก่แก้บนโอด โควิด 19 ระบาดซ้ำซากหลายครั้งกระทบรายได้หดหายมากถึงกว่าร้อยละ 70-80 จำต้องควักทุนเก่าใช้จ่ายเป็นค่าแรงเลี้ยงดูคนงาน วอนคนไทยจับมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหา เชื่อสถานการณ์จะคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เผยไม่คิดอยากโทษใคร เชื่อมั่นและเข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากจะให้เกิดการระบาดซ้ำขึ้นหลายครั้ง
วันที่ 12 พ.ค.64 เวลา 14.30 น. นางจิตรสินี พานทอง อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 746/2 ถ.ฉะเชิงเทรา-บางปะกง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ค้าไข่ไก่แก้บนริมถนนเทพคุณากร “ร้านน้องเบียร์ไข่ต้ม” หรือประวีณฟาร์ม ตั้งอยู่บริเวณริมเส้นทางเข้าวัดโสธรด้านฝั่งขาเข้าก่อนถึงทางแยกเข้าวัดบางพระ ซึ่งเป็นแผงค้าไข่แก้บนขนาดใหญ่ ที่เคยมีคนจีนมาสั่งซื้อไปถวายขอพรจากองค์หลวงพ่อโสธร เมื่อวันที่ 18 ก.พ.63 เป็นจำนวนมากถึง 2 แสนฟอง
โดยในครั้งนั้นหนุ่มสาวชาวจีนประกอบด้วย ชาย 2 คนหญิง 4 คน ได้มาขอให้ประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นแห่งแรกของโลกที่มณฑลอู่ฮั่น ได้ผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ด้วยดีโดยเร็ว และขอให้กลับมามีความสงบสุขเหมือนเดิมอีกครั้ง และสถานการณ์ในประเทศจีน ได้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตจากการระบาดไปได้ด้วยดีแล้วจริงๆ ตามคำขอที่ชาวจีนจำนวน 6 คนได้มาบนบานขอไว้ ได้กล่าวเปิดเผยถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 แบบซ้ำซากต่อเนื่องถึง 3 ระลอกว่า
การระบาดของโรคโควิด 19 ในรอบสถานบันเทิงครั้งนี้ ถือว่าได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุดเนื่องจากทาง จ.ฉะเชิงเทรา ได้มีคำสั่งให้ปิดวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 เม.ย.64 ที่ผ่านมา จึงทำให้มีคนเดินทางมาทำบุญน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย นอกจากผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าหรืออยากจะมาจริงๆ จึงจะเดินทางมาไหว้ขอพรที่กำแพงรั้วหน้าพระอุโบสถหรือที่หน้าพระมหาวิหารองค์จำลอง
จึงทำให้ผู้ค้าไข่ต้มแก้บนมีรายได้ลดลงในทันทีเป็นอย่างมากถึงกว่าร้อยละ 70-80 โดยบางวันขายได้เพียง 5 ตะกร้าบางวัน 10 ตะกร้าหรือประมาณ 500-1,000 ฟอง แต่ต้องจ่ายค่าแรงลูกจ้างมากถึง 4 คนรวม 1,600 บาท ซึ่งผลกำไรที่ได้จะได้เป็นค่าแรงต้มไข่มาเพียงตะกร้าละ 50 บาทเท่านั้น รวมมีรายได้จากกำไรเพียงวันละ 250-500 บาท แต่ต้องควักทุนเก่าออกมาจ่ายเป็นค่าแรงลูกน้องคนละ 400 บาทต่อวัน
ล่าสุดจึงได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกัน เพื่อขอลดค่าแรงลงในช่วงวิกฤตที่กำลังได้รับผลกระทบ ให้เหลือค่าแรงคนละ 300 บาทต่อวันไปก่อน หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว หรือวัดสามารถเปิดให้คนเข้ามาทำบุญได้แล้ว จึงจะกลับมาจ่ายให้ในราคาเดิมโดยต้องรอดูว่าในวันที่ 14 พ.ค.64 นี้ วัดจะกลับมาเปิดได้อีกหรือไม่ ขณะนี้จึงต้องกินทุนเก่านำมาใช้จ่ายไปก่อน
โดยการระบาดระลอกล่าสุดนี้ ถือว่าได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าในทุกครั้ง เนื่องจากในครั้งแรกที่มีการระบาดในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ 15 มี.ค.63 นั้น ได้มีการประกาศปิดวัดโสธรตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มี.ค.63 หลังพบมีผู้ติดเชื้อเพียงไม่กี่วัน แต่ผู้ค้าไข่กลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก เนื่องจากได้มีการสต็อกหรือตุนไข่ดิบเอาไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการประกาศปิดวัด จึงทำให้มีไข่ดิบเหลือเก็บเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันกลับมีกระแสความต้องการไข่ไก่จากประชาชน ที่ต้องการซื้อไข่ไก่เอาไปเก็บไว้สำรองเป็นเสบียงจำนวนมาก จึงทำให้เกิดภาวะไข่ไก่ขาดตลาดและมีราคาแพงขึ้น จึงทำให้ผู้ค้าไข่ไก่แก้บนที่เก็บไข่ไว้ สามารถระบายไข่ไก่ออกไปจากสต็อกได้จนหมดในราคาขายที่ดีด้วย และถือว่าขายไข่ได้ราคาดีมากจนไม่มีไข่จะขาย ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการระบาดในครั้งแรก ก่อนที่วัดโสธรจะสามารถกลับมาเปิดให้คนมาทำบุญได้ตามปกติอีกครั้งในเวลาต่อมา
ส่วนการระบาดระลอก 2 เมื่อช่วงต้นปี 2564 จากแพปลามหาชัย จ.สมุทรสาคร นั้นไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากไม่ได้มีการปิดวัดโสธร แต่การระบาดระลอกสถานบันเทิงในครั้งนี้ กลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากไม่มีประชาชนเดินทางเข้ามาทำบุญเลย ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย.64 หรืออาจมีเข้ามาน้อยมาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังไม่มีคำสั่งจากทางจังหวัดให้ปิดวัด จึงอยากฝากบอกว่าผู้ที่จะมาแก้บนทำบุญถวายไข่ไก่ต้มต่อองค์หลวงพ่อโสธรนั้น
ทางร้านของตนยังมีการเปิดขายและให้บริการอยู่ ทั้งยังมีการนำส่งไปให้จนถึงยังที่วัด พร้อมกับมีโต๊ะที่ตั้งวางบูชาถวายไข่ให้ด้วย โดยจะเป็นการแก้บนแบบกลางแจ้ง ที่บริเวณริมรั้วด้านหน้าพระอุโบสถ โดยชีวิตของคนค้าขายไข่ต้มแก้บนนั้น อยู่ได้ด้วยบารมีของหลวงพ่อโสธรที่ท่านช่วยเลี้ยงดูพวกเรามา ทำให้มีอาชีพมีรายได้ ซึ่งก่อนหน้าการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนานั้น ร้านของตนเคยขายได้วันละ 80-100ตะกร้า หรือประมาณแปดพันถึงหนึ่งหมื่นฟองในวันหยุดราชการ
ส่วนวันจันทร์-ศุกร์ จะขายได้วันละ 50-60 ตะกร้า ทำให้มีรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวและลูกจ้างมาตลอดระยะเวลา 13 ปีเต็มที่เปิดร้านขายไข่ต้มแห่งนี้ นางจิตรสินี กล่าว เมื่อถามว่าจากการระบาดของโควิด 19 ระลอกนี้ อยากจะตำหนิหรือโทษใครไหม ที่ทำให้เกิดการระบาดซ้ำซาก นางจิตรสินี ตอบว่า “ตนไม่อยากโทษใครเลย เพราะทุกคนคงไม่จะอยากให้เกิด นี่ตนพูดจากใจนะ จึงไม่อยากจะโทษเพราะคงจะไม่มีใครอยากให้เกิดจริงๆ”
ทุกคนต้องการใช้ชีวิตอย่างปกติ ต้องการทำมาหากินต้องการที่จะไปไหนได้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องแก้ จึงอย่าไปโทษกันเลย เพราะโทษกันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรและไม่จบ จากการที่จะมามัวแต่โทษกันมาช่วยกันหาวิธีการแก้ไข แล้วพาประเทศเราไปให้ได้ ตนเชื่อว่าประเทศเราทำได้ เพราะเราคนไทยนั้นสู้อยู่แล้ว ต้องหาวิธีจัดการ ตอนนี้อยากให้เศรษฐกิจมันวิ่งได้ อยากให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีและคลี่คลายลง
ขณะนี้ข้าวของทุกอย่างขึ้นราคาหมด แต่คนกินกลับไม่มีกำลังทรัพย์ซื้อ จึงต้องรอทุกอย่างให้มันจบลง เพราะทุกวันนี้ต้องควักทุนเก่าออกมากินกันแล้ว ขณะที่รายได้ยังไม่มีเข้ามาและยังไม่รู้ว่ามันจะจบลงตรงไหน ทุกคนยังรอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอยู่ ต้องสู้ และสู้ไปด้วยกัน เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นถ้าหากเรามีวัคซีนแล้วจะได้จบลงไปทุกอย่างไม่ต้องมัวมาระแวงกันว่าใครจะเป็นไหม อยากกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิมโดยเร็ว จะไปไหนก็ไม่ได้จึงรู้สึกเหนื่อย จึงอยากให้เราช่วยๆ กัน ทุกอย่างจึงจะผ่านไปได้
ส่วนชาวจีนที่เคยมาซื้อไข่ไก่จากร้านของตน จำนวน 2 แสนฟอง เพื่อนำไปบนบานขอพรจากองค์หลวงพ่อโสธร ให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในประเทศจีนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อวันที่ 18 ก.พ.63 นั้น เขาได้เคยติดต่อกลับมาแล้ว เมื่อช่วงโควิดระลอก 2 กำลังระบาดในประเทศเรา เพื่อที่จะนำไข่ไก่อีกจำนวน 4 แสนฟองไปถวายแก้บนต่อองค์หลวงพ่อโสธรอีก หลังจากสถานการณ์การแพร่ระระบาดในประเทศจีนสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้วจริงๆ
แต่ตนได้ตอบกลับเขาไปว่า ในขณะนั้นเรายังไม่ได้เปิดประเทศให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ ทั้งที่ตนก็ยังอยากได้ลูกค้าและก็ยังรู้สึกเสียดาย แต่ยังทำอะไรไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่อยากขอให้สถานการณ์จากการระบาดในครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยขอให้คนไทยร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้เอาชนะโรคนี้ไปให้ได้ และตนยังเชื่อว่าเราทำได้ หากเราร่วมมือกัน นางจิตรสินี กล่าว
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณวัดโสธรวรารามวรวิหาร ในวันนี้ ยังคงมีประชาชนเดินทางมาไหว้ขอพรและแก้บน ที่บริเวณริมรั้วกำแพงพระอุโบสถอย่างประปรายในช่วงเช้า แต่ในช่วงบ่ายบรรยากาศกลับเงียบเหงาไม่มีผู้คนเข้ามาไหว้พระขอพรเลยแม้แต่รายเดียว จึงทำให้ร้านค้าของฝากจำนวนมากที่ยังคงพยายามเปิดหน้าร้านขายของรอคอยลูกค้ากันอย่างมีความหวังนั้น
หลายร้านต่างต้องพากันปิดหน้าร้านกลับบ้านกันไป ตั้งแต่เมื่อช่วงเวลา 14.00 น. ทั้งที่ปกติจะเปิดรอลูกค้าจนถึงกระทั่งในช่วงเวลาเย็นก่อนพลบค่ำ ส่วนร้านค้าขายไข่ต้มแก้บนนั้น ส่วนใหญ่จะปิดร้านกันหมดโดยเฉพาะในวันปกติธรรมดา มีเพียงร้านค้าของผู้ขายรายนี้ที่ยังคงเปิดขายอยู่ และมีแผงขนาดเล็กอีก 1 ร้านในบริเวณเดียวกัน ส่วนที่บริเวณหน้าสนามมวยนานาชาติ ยังมีร้านค้าไข่ต้มเปิดขายอยู่อีก 2 ร้าน และที่บริเวณหน้าวัดโสธร ยังมีแผงเล็กๆ เปิดขายอยู่อีก 2 ร้านรวมประมาณ 6 ร้านค้า จากทั้งหมดกว่า 20-30 ร้าน