จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติที่ อ.หัวหิน .ประจวบคีรีขันธ์ มียอดสะสมผู้ติดเชื้อสูงสุด จากผู้ติดเชื้อทั้งจังหวัดมากกว่า 1,300 คน เริ่มจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงผิดกฎหมายหลายแห่งในเขตเทศบาลหัวหิน ลุกลามถึงแรงงานชาวพม่าในโรงงานสับปะรดกระป๋องที่ ต. หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 100 รายและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ผู้ประกอบการทั้งโรงแรม รีสอร์ท ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการและประชาชน 90 %ที่ทีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวมีผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่ภาพีรวมความเสียหายจากโควิดระลอกใหม่ประเมินว่ามากกว่า 1 พันล้านบาท จากเดิมเมื่อ 2 ปี ก่อนหัวหินเคยมีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละ 43,000 ล้านบาท
นายอุดมสุข นิ่มเซียน เจ้าของกันตารีสอร์ท หัวหิน อดีตนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การระบาดของโควิด 19 ที่ อ.หัวหิน โรงแรมบางแห่งต้องปิดชั่วคราว เพราะแบกรับสภาพขาดทุนไม่ไหว เนื่องจากนักท่องเที่ยวงดเดินทางมาหัวหินร้อยละ 90% สำหรับโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาหัวหิน น่าจะน้อยมาก เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์รวมทั้งประกาศคำสั่งข้อห้ามต่างๆของทางราชการ ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่ทุกคนต้องประหยัด
แต่ล่าสุดเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ มีตัวแทนภาครัฐและเอกชน มีแนวคิดทำโครงการ”หัวหิน รีชาร์ท” Hua Hin Recharge โดยนำเสนอโครงการผ่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้ภาครัฐเร่งจัดหาวัคซีนสำหรับประชาชนในพื้นที่ อ.หัวหิน บุคคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคคลากรในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อนำร่องเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วน 2 โดส ให้สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2564
นายอุดม ศรีมหาโชตะ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน – ชะอำ เจ้าของโรงแรมในพื้นที่ อ.หัวหิน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยหากมีการนำเสนอเฉพาะตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนในเขตเทศบาลหัวหิน แต่ขอให้พิจารณาข้อมูลจำนวนวัคซีนให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง อ.หัวหิน อ.ปราณบุรี และ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องด้านการท่องเที่ยวในภาคคะวันตก
“ได้เสนอข้อมูล 3 ทางเลือก ในการฉีดวัคซีนทางเลือกแรกเป็นพื้นที่ ชะอำ หัวหิน ปราณบุรี ความต้องการอยู่ที่ 4.7 -5.9 แสนโดส ทางเลือกที่สอง พื้นที่ตั้งแต่ อ.เมืองเพชรบุรี ถึง อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ความต้องการ 9.18 แสนโดสถึง 1.22 ล้านโดส ทางเลือกสุดท้ายฉัดวัคซีนทั้ง จ.เพชรบุรีและ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ความต้องการ 1.252-1.705 ล้านโดส โดยสมาคมท่องเที่ยวควรขับเคลื่อนและพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวทั้งสองจังหวัดรวมกัน เนื่องจากมีการท่องเที่ยวเชื่อมโยง “นายอุดม กล่าว
ด้านนายกรด โรจนเสถียร ผู้บริหารธุรกิจเครือชีวาศรม อ.หัวหิน คณะทำงานโครงการ หัวหินรีชาร์ท ในฐานะนายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) มีมติเห็นชอบให้ กทม. จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส เข้ามาท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 สอดคล้องกับการทำโครงการหัวหินรีชาร์ท วางแผนฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวมีนโยบายฉีดวัคซีนให้ประชาชนและบุคลากรในธุรกิจการท่องเที่ยวครอบคลุมพื้นที่ อ.หัวหิน อ.ปราณบุรี และ อ.ชะอำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในวงกว้าง
“การฉีดวัคซีนจะต้องได้รับความมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายออกมาฉีดวัคซีนให้เต็มที่ และ ต้องความเข้าใจว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันภาครัฐจะต้องกระจายวัคซีนไปพื้นที่อื่นด้วย ดังนั้นหากมีโอกาสแล้วก็ขอให้ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้มากที่สุด แต่ทราบว่าขณะนี้การลงทะเบียนผ่านแอปหมอพร้อมในภาพรวมในพื้นที่หัวหิน และภาพรวมทั้งจังหวัดยังมีไม่มาก ขณะเดียวกันปัญหาที่ประชาชนบางส่วนไม่สนใจฉีดวัคซีน เป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมี อสม.เดินเคาะประตูบ้านปูพรมไปพบกลุ่มเป้าหมายในชุมชนเพื่อขอให้ลงทะเบียน”นายกรด กล่าว
น.ส.พรระวี สีเหลืองสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์ผู้ประกอบการ เอส.เอ็ม.อี.ประจวบคีรีขันธ์ เลขาธิการโครงการ หัวหินรีชาร์ท กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ อ.หัวหิน ยังมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่ม หากจะมีมาตรการใหม่ๆก็ต้องมีความชัดเจนว่าดำเนินการแล้วจะหยุดการแพร่เชื้อได้จริงหรือไม่ ต้องใช้มาตรการที่กำหนดกี่วัน จะมีผลกระทบกับกิจกรรมใดบ้าง หรือจะมีมาตรการเยียวยาผลกระทบอย่างไร เพราะขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่หัวหินยังไม่เป็นศูนย์ ถือว่าเป็นปัญหาที่ประชาชนและผู้ประกอบการภาคธุรกิจยังมีความกังวล
“รอบนี้ธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหินที่เป็นรายได้หลัก เจอผลกระทบหนักสุด ดังนั้นการแก้ปัญหาเพื่อให้มีทิศทางที่ชัดเจนควรเสนอให้ ศบค.จากส่วนกลางสั่งตรงถึงหัวหินเป็นการเฉพาะ โดยมอบหมายให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดมาทำหน้าที่ประธาน เพื่อวางแผนทำงานให้การประชุมครั้งเดียวเบ็ดเสร็จ ไม่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่เช่นนั้นปัญหาที่หัวหินจะเรื้อรังต่อไป ขณะที่แนวทางการปัญหา ความหวังจากโครงการ ”หัวหินรีชาร์ท”นำหัวหินกลับมาเสียบปลั๊กไฟก็ต้องขอให้ประชาชนเต็มใจร่วมมือในการฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย เหมือนการเปิดเมืองที่ จ.ภูเก็ต เพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง ยืนยบันว่าการฉีดวัคซีนเป็นภารกิจที่ทุกฝ่ายในหัวหิน ต้องร่วมมือช่วยกันรณรงค์เพื่อทำให้สำเร็จ “ น.ส.พรระวี กล่าว
นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)ประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะประธานโครงการหัวหิน รีชาร์ท ภาครัฐ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกันสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่
"สำหรับในพื้นที่เป้าหมายจะเริ่มการฉีดวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไปให้ครบ 70% ของประชากรในพื้นที่รวมทั้งประชากรแฝง ภายใน 30 กันยายน 2564 เพื่อให้หัวหินและอำเภอใกล้เคียงเป็นพื้นที่ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ให้สามารถเดินทางมาพักในพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากการจ้างงานทั้งในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ"นายแพทย์สุริยะกล่าว
สำหรับหัวหิน”เป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติ เข้ามาพำนักระยะยาวและวัยเกษียณอายุพักอาศัยจำนวนมาก การกักตัวถือเป็นอุปสรรคที่ทำให้การเดินทางของญาติมิตรชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางเข้ามาสร้างรายได้แก่พื้นที่หดหายไป โดยภาคเอกชนหัวหินได้รับข้อมูลจากคู่ค้าบริษัททัวร์รายใหญ่ในต่างประเทศว่า ลูกค้าชาวต่างชาติมีความประสงค์ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่หัวหิน หากยกเลิกการกักตัว
ขณะที่หลายฝ่ายมีความมั่นใจเดินหน้าโครงการหัวหิน รีชาร์ท เบื้องต้นประเมินว่าช่วงไตรมาสที่ 4 ระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2564 หากโครงการนี้สำเร็จ จะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเดินทางเข้ามาใน อ.หัวหินและอำเภอใกล้เคียงเบื้องต้น กว่า 1 แสนคน จะสร้างรายได้มากกว่า 1,200 ล้านบาท เป็นการพลิกฟื้นธุรกิจให้ผู้ประกอบการ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้า และธุรกิจทุกภาคส่วนใน อ.หัวหิน รวมทั้งพนักงานและแรงงานในภาคธุรกิจบริการอีกกว่า 1 แสนคน จะกลับมาพึ่งพาตนเองได้อีกครั้งอย่างยั่งยืน และที่สำคัญหน่วยงานภาครัฐทั้งฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ควรมีนโยบายบังคับใช้กฎหมายกับสถานบริการที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวด และ ไม่ควรปล่อยให้มีแรงงานเถื่อนลักลอบทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้โควิด 19 กลับมาทำลายเศรษฐกิจในเมืองท่องเที่ยวหลัก