นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท.เปิดเผยว่า คาดความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในปีนี้จะใกล้เคียงกับปี 62 ที่ประมาณ 4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนไตรมาส 1/64 ความต้องการอยู่ที่ประมาณ 4,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โตกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 7-8 ซึ่งจากโควิด-19 ระลอก 3 ที่กำลังระบาดนี้ ทาง ปตท.กำลังประเมินผลว่าจะกระทบเท่าใด โดยในส่วนของร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อาจกระทบบ้าง แต่ยอดใช้ไฟฟ้าของโรงงานส่งออกยังโตได้ดีตามเศรษฐกิจโลกทำให้ความต้องการก๊าซทั้งผลิตไฟฟ้าและใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมยังมีปริมาณสูง "ปตท.ประเมินว่า ประเทศไทยมีความต้องการนำเข้าแอลเอ็นจีราว 6-6.5 ล้านตันในปีนี้ ดังนั้นหากหักออกจากสัญญาระยะยาว 5.2 ล้านตันที่ ปตท.นำเข้าแล้วก็ว่าจะเป็นการเปิดทางให้ผู้นำเข้าอื่นๆตามแนวทางเปิดเสรีนำเข้าได้ ปีมาณ 0.8-1.3 ล้านตัน แต่จะเป็นปริมาณที่ชัดเจนเท่าใดขึ้นอยู่กับคณะทำงานของกระทรวงพลังงาน ที่มีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( กกพ.) ร่วมพิจารณา โดยปัจจุบัน ราคา Spot LNG ส่งมอบเดือนมิ.ย.นี้ ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู" ขณะที่ความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำเข้าแอลเอ็นจี มาใช้ในภาคกลางและภาคใต้ ก็กำลังหารือกันอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของภาคใต้ก็จะนำมาใช้ป้อนโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี 1,400 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้าราว 3-5 ล้านตันต่อปี สำหรับการดำเนินงานของ ปตท. ภายใต้นโยบายส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และการพัฒนา Regional LNG Hub มีการการดำเนินการทดสอบด้านเทคนิคเรียบร้อยแล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการเชิงพาณิชย์ต่อไป ซึ่งจะมีการส่งออกทั้งส่วนการส่งออกทางเรือก และทางรถด้วยระบบ ISO THANK ในต่างประเทศ ซึ่งมีการทดสอบตลาดไปยังจีน และพร้อมจะส่งออกไปเพื่อนบ้านเช่น กัมพูชา แต่ทั้งนี้ยังติดปัญหาเรื่องโรคโควิด-19 ก็ทำให้การติดต่อล่าช้า โดยในตลาดจีนทาง ปตท.ก็พร้อมร่วมมือกับ SGP หรือบริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน)ในการส่งออก โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจก๊าซเพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ การก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่(แห่งที่ 7)เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซ แห่งที่1 คาดว่า มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ตามแผนคาดว่า จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2566-2567 โครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าตามแผน PDP2018 (Rev.1) มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท ตามแผนคาดว่า จะก่อสร้างเสร็จในปี 2568 ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังเป็นไปตามแผนได้แก่ โครงการ LNG Terminal 2 (หนองแฟบ) รองรับก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) มูลค่าประมาณ38,500 ล้านบาท จะแล้วเสร็จตามแผนในปี 2565 และการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5 มูลค่าประมาณ 17,207 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มทดสอบนำก๊าซฯส่งผ่านท่อฯแล้ว นายวุฒิกรกล่าวถึงการปรับรูปแบบสถานีบริการ NGV ว่า เนื่องจากกระแสยานยนต์ไฟฟ้า(EV) กำลังมา ประกอบกับรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้รถ EV ปตท.จึงได้เพิ่มสถานีชารจ์รถ EV ในสถานีบริการ NGV เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้รถเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถแท็กซี่ที่เป็นลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการรถแท็กซี่ ได้เริ่มปรับเป็น EV Taxi บ้างแล้ว โดยการปรับรูปแบบจะเริ่มที่สถานีกำแพงเพชร2 เป็นที่แรก นอกจากสถานีชารจ์รถ EV แล้วยังจะมีการเพิ่มสินค้าและบริการอื่นๆที่เป็นผลิตภัณฑ์ของ ปตท. เช่น ร้านไอศรีมสถานีกะทิสด สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ ทั้งนี้ตั้งเป้าระยะแรกจะปรับรูปแบบสถานี NGV ในกรุงเทพและปริมณฑลก่อน 10 สถานี โดยจะมีทั้งรูปแบบที่ ปตท.เป็นผู้ลงทุนเอง และเปิดให้พันธมิตรร่วมลงทุน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ไตรมาส 3 ปีนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ก่อนขยายการติดตั้งเพิ่มเติมในปั๊ม NGV ต่อไป ปัจจุบัน ปตท.มีปั๊มNGV ทั่วประเทศประมาณ 300-400 แห่ง