สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนเม.ย.64 กดดันให้ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ในปัจจุบัน (เดือนเม.ย.64) และ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอย่างมาก อยู่ที่ 37.0 และ 39.4 จากเดือนมี.ค.64 ซึ่งอยู่ที่ 40.4 และ 41.5 บ่งชี้ว่าครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นอย่างมากเกี่ยวกับภาวะการครองชีพ
โดยเมื่อพิจารณาองค์ประกอบต่างๆของดัชนีพบว่า ครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะในส่วนของมุมมองด้านรายได้และการมีงานทำรวมถึงค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ไม่รวมภาระหนี้ที่ลดลงอยู่ที่ 40.7 และ 30.2 จาก 45.6 และ 33.1 ในเดือนมี.ค.64 ความกังวลที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องไปกับความเปราะบางในตลาดแรงงานที่สะท้อนจากจำนวนผู้ใช้บริการกรณีว่างงานของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยในเดือนก.พ.64 อยู่ที่ 310,031 คน เมื่อเทียบกับ 151,802 คน ในเดือนก.พ.63
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคที่เป็นตัววัดค่าครองชีพของประชาชนก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ในเดือนเม.ย.64 เงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 14 เดือน อยู่ที่ 3.41% ซึ่งปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และราคาผักสดที่สูงขึ้น รวมถึงค่าสาธารณูปโภคที่ปรับเพิ่มขึ้นหลังไม่มีมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.ในปีก่อนหน้า ดังนั้นค่าครองชีพของประชาชนในเดือนเม.ย. จึงได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโควิดระลอกล่าสุดนี้ ส่งผลต่อรายได้ครัวเรือนที่ลดลง ที่มาพร้อมกับจังหวะที่ราคาพลังงานและสาธารณูปโภคเร่งตัวขึ้น รวมถึงเป็นช่วงรอยต่อสุญญากาศของการออกมาตรการเยียวยา ทำให้ความช่วยเหลือที่เป็นเม็ดเงินเพิ่มเติมเพื่อประคับประคองรายได้ของครัวเรือนโดยส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบขาดหายไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายได้จากการจ้างงาน ผลสำรวจระบุว่า แม้ว่าไม่มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์แต่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่สามส่งผลให้ครัวเรือนเกือบ 50% ได้รับผลกระทบจากการจ้างงาน โดย 90.3% มีรายได้จากการจ้างงานที่ลดลง ขณะที่ 9.7% ขาดรายได้
โดยผลสำรวจดังกล่าว ได้ตอกย้ำถึงประเด็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือนเกี่ยวกับรายได้จากการจ้างงาน ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อที่มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย. บ่งชี้ว่าค่าครองชีพของภาคครัวเรือนเริ่มปรับสูงขึ้น และจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำลังซื้อ ที่เดิมมีแนวโน้มเปราะบางอยู่แล้ว ดังนั้นแม้มาตรการควบคุมการระบาดในครั้งนี้ จะไม่ได้เข้มงวดเท่ากับการระบาดในรอบแรก แต่สถานการณ์การระบาดที่รุนแรงได้ส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนอย่างมาก นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของครัวเรือนได้เปราะบางลง ต่อเนื่องมาจากสถานการณ์ระบาดครั้งก่อน มาตรการเยียวยาผลกระทบจากภาครัฐจึงมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยบรรเทาและประคับประคองภาคส่วนต่างๆ
ทั้งนี้ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนที่สามารถทำได้ทันที ซึ่งจะมีผลในเดือนพ.ค.-มิ.ย.64 ทั้งมาตรการด้านการเงินที่มีการให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ และเกษตรกรและมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่าย โดยจะมีการปรับลดค่าไฟฟ้าและประปาให้กับประชาชนและกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ รวมถึงมีการต่ออายุมาตรการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน โดยจะมีการจ่ายเงินอีก 2,000 บาทในแต่ละโครงการ ซึ่งสามารถใช้จ่ายได้ถึง 30 มิ.ย.64
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี (ก.ค.-ธ.ค.64) ยังมีมาตรการระยะที่สองเพิ่มเติม โดยจะมีการเพิ่มกำลังซื้อให้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ รวมถึงจะมีมาตรการคนละครึ่งเฟส 3 นอกจากนี้ จะมีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งเป็นมาตรการใหม่สำหรับคนมีเงินออมให้ออกมาใช้จ่าย ซึ่งรายละเอียดต่างๆจะออกมาเพิ่มเติมอีกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มาตรการต่างๆของภาครัฐที่ออกมาล่าสุด ค่อนข้างสอดคล้องกับผลสำรวจของครัวเรือนที่ระบุว่า 57.3% ต้องการให้ภาครัฐแจกเงินเพื่อเยียวยาทุกคน และอีก 27.6% ต้องการให้ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาฟรี อย่างไรก็ตาม มาตรการเยียวยาต่างๆยังมีขนาดที่น้อยกว่าการระบาดในรอบก่อนค่อนข้างมาก ขณะที่ผลกระทบค่อนข้างรุนแรงและซ้ำเติม ต่อเนื่องจากการระบาดในรอบก่อน ดังนั้นนอกจากการเร่งดำเนินการจัดหา และฉีดวัคซีนแล้ว มาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อประคับประคองภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมจากมาตรการเยียวยาที่ ครม.มีมติในวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยสรุปแล้ว ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ในระดับปัจจุบัน (เม.ย.64) และ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมุมมองต่อรายได้และการจ้างงาน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่สามค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าจะไม่มีมาตรการควบคุมการระบาดที่รุนแรงแต่ครัวเรือนส่วนมากมีรายได้ที่ลดลงซึ่งจะส่งผลต่อกำลังซื้อของครัวเรือน อีกทั้งระดับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ยังสะท้อนถึงค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากการเร่งจัดหาและกระจายวัคซีนแล้ว มาตรการบรรเทาผลกระทบเพิ่มเติมจากภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นเพื่อประคับประคองภาคครัวเรือนและธุรกิจ