โควิดไทยยังหนัก! ดับอีก 22ราย ติดเชื้อรายวัน 1,630 ราย รวมยอดป่วยสะสม 85,005 ราย ช็อก! ตรวจเจอและตายในวันเดียวกัน 2 ราย "อัศวิน" มั่นใจ2สัปดาห์คุมโควิดในวงจำกัดได้ พร้อมขู่ใช้ยาแรงคุมพื้นที่เสี่ยง " ผบ.ตร." สั่งคุมเข้มตรึงแนวชายแดน สกัดแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หวั่นนำเชื้อโควิดแพร่ระบาด ส่วน"ลาว"พบเหยื่อดับโควิดรายแรก
ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 10 พ.ค.64 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 1,630 ราย โดยเป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,622 ราย (แยกเป็นจากระบบเฝ้าระวังและบริการสุขภาพ 1,321 ราย จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 301 ราย) และเดินทางมาจากต่างประเทศอีก 8 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 85,005 ราย วันนี้มีผู้เสียชีวิตอีก 22 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตขยับไปที่ 421 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 1,603 ราย รวมยอดรักษาหาย 55,208 ราย ยังรักษาอยู่จำนวน 29,376 ราย เป็นการรักษาในโรงพยาบาล 19,948 ราย โรงพยาบาลสนาม 9,428 ราย ทั้งนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 1,151 ราย และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 389 ราย
รายละเอียดผู้เสียชีวิต22 ราย เป็นเพศชาย 9 ราย เพศหญิง 13 ราย อายุระหว่าง 30-92 ปี อยู่ในพื้นที่ กทม.มากที่สุด 13 ราย เชียงใหม่ 2 ราย ปทุมธานี สะพรรณบุรี ระยอง สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น มหาสารคาม จังหวัดละ 1 ราย โดยมีโรคประจำตัว เป็นโรคความดันโลหิตสูงมากสุด 13 ราย เบาหวาน 6 ราย ไขมันในเลือดสูง 4 ราย โรคหัวใจ 5 ราย โรคปอดเรื้อรัง ภาวะอ้วน ไตเรื้อรัง ปฏิเสธโรคประจำตัว ติดเตียง โดยในจำนวนนี้ เป็นการติดเชื้อจากสมาชิกในครอบครัวมากสุดเช่นเดิม 5 ราย ไม่ทราบประวัติเสี่ยง ไปสถานที่คนแออัด-ตลาด งานศพ สัมผัสผู้ติดเชื้อยืนยัน และพบว่า 2 ราย ที่เสียชีวิต ตรวจพบเชื้อและเสียชีสิตภายในวันเดียวกัน
ขณะที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ภายใน 2 สัปดาห์ จะจำกัดวงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ให้ได้มากที่สุด แม้จะมีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และจะพยายามแก้ไขให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่บางแค ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากห้างสรรพสินค้าบางแค และได้สั่งปิดห้างไปแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการใช้ยาแรง หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายต้องพยายามช่วยกันทำให้ได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องล็อกดาวน์
ส่วน นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วยอธิบดีกรมควบคุมโรค เข้าตรวจเยี่ยมห้อง ICU โควิด-19 ส่วนต่อขยาย โรงพยาบาลราชวิถี โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ โดยห้อง ICU โควิด-19 ดังกล่าว ก่อสร้างโดยบริษัท SCG ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้าง 10 วัน มีขนาด 10 เตียง มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โดยมีการติดตั้งเครื่องโพส? ซึ่งเป็นอุปกรณ์รักษาผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงช่วยทำหน้าที่หายใจแทนตัวผู้ป่วย และช่วยลดการใช้เครื่องช่วยหายใจได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ สำหรับ ห้อง ICU โควิด-19 ส่วนต่อขยาย จะใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองเข้ม สีส้ม เป็นกลุ่มที่อาการไม่รุนแรงแต่มีอาการเหนื่อยหอบมีปัจจัยเสี่ยงเข้าสู่ผู้ป่วยขั้นวิกฤติ
"หากจำนวนผู้ป่วยสีเหลืองเข้มและสีส้มยังมีอัตราตัวเลขไม่ลดลง และมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ห้อง ICU โควิด-19 ส่วนต่อขยาย ก็จำเป็นต้องขยายไปในพื้นที่โรงพยาบาลอื่นๆ พร้อมยืนยันการควบคุมโรคโควิด-19 ให้ได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชน เพราะการรักษาเป็นปลายทางหรือขั้นตอนสุดท้าย แต่การป้องกันโรคด้วยการสวมใส่แมสก์ การเว้นระยะห่างทางสังคม ลดความใกล้ชิด และปฏิบัติตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข เป็นปัจจัยสำคัญที่ประชาชนควรปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว ขณะเดียวกัน การควบคุมโรคและการเข้าหาผู้ป่วยเชิงรุกรวมถึงการสอบสวนโรคของภาครัฐ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสามารถลดตัวเลขผู้ติดเชื้อได้เป็นอย่างดี"
ส่วน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปม.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามาแพร่ในประเทศไทย จึงได้ออกคำสั่งเป็นหนังสือ วิทยุในราชการ ตร. ด่วนที่สุด ที่ศปม 5.31/183 ถึง ผบช.น. ภ.1-9 ผบช.ก. สตม. ตชด. และสยศ.ตร. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน โดยให้จัดลำดับความสำคัญตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา และ ลาว ตามลำดับ
วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือสปป.ลาว แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศ โดยระบุว่า พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิดรายแรกของประเทศ เป็นสตรีอายุ 53 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ณ กรุงเวียงจันทน์ ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.เป็นต้นมา
พร้อมกันนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สปป.ลาวพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวน 69 ราย ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยติดเอสะสมอยู่ที่ 1,302 ราย มากเป็นอันดับที่ 190 ของโลก ส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 232 ราย
ทางด้าน หน่วยงานควบคุมยาแห่งอินเดีย หรือดีซีจีไอ ได้อนุมัติให้ใช้ยาขนาน "2-ดีออกซี-ดี-กลูโคส (2-deoxy-D-glucose)" หรือ "ทู-ดีจี (2-DG)" ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด19 ในกรณีฉุกเฉิน
รายงานข่าวแจ้งว่า ยาขนานดังกล่าว วิจัยพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบันเวชศาสตร์นิวเคลียร์และสหเวชศาสตร์แห่งอินเดีย หรือไอเอ็นเอ็มเอเอส ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยของกระทรวงกลาโหมของอินเดีย หรือดีอาร์ดีโอ โดยได้วิจัยพัฒนาร่วมกับบริษัทด็อกเตอร์เรดดีส์ แลบอราทอรีส์ ซึ่งเป็นธุรกิจด้านเภสัชภัณฑ์สัญชาติอินเดีย
ทั้งนี้ หน่วยงานดีซีจีไอ เปิดเผยว่า ยาขนานนี้ มีผลการทดลองทำให้ผู้ป่วยโรคโควิดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถลดการพึ่งพาออกซิเจนได้ รวมถึงผู้ป่วยโรคโควิดจำนวนมากที่ได้รับยาขนานนี้ มีผลการตรวจโรคเป็นลบในเวลาต่อมาด้วย
พร้อมกันนี้ กระทรวงกลาโหมของอินเดีย ยังแถลงด้วยว่า ยาทู-ดีจี จะช่วยรวบรวมเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสโควิดเข้าด้วยกัน และป้องกันไม่ให้ไวรัสโควิดเติบโตได้ต่อไป ด้วยการยับยั้งการสังเคราะห์เชื้อไวรัสและการผลิตพลังงานของไวรัสได้เป็นอย่างดีด้วย
ด้านกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในประเทศ ระบุว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากถึง 6,996 ราย ซึ่งจำนวนสูงที่สุดเป็นสถิติใหม่ นับตั้งแต่ประเทศเผชิญกับการแพร่ระบาด ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 633,027 ราย มากเป็นอันดับที่ 37 ของโลก ในจำนวนนี้ มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤติมีจำนวน 1,144 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 10,823 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 603,901 ราย
รายงานข่าวแจ้งว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดอย่างรุนแรงดังกล่าว ทำให้ประชาชนชาวจำนวนร้อยละ 59 ตอบแบบสอบถามว่า ต้องการให้รัฐบาลล้มเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.นี้ ส่วนผู้ที่ต้องการให้รัฐบาลจัดการแข่งขัน มีจำนวนร้อยละ 39 เท่านั้น
ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 158,977,693 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 3,306,954 ราย และผู้ป่วยที่รักษามีจำนวนสะสม 136,532,403 ราย โดยสหรัฐฯ พบผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลกจำนวน 33,476,781 ราย เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลกเช่นกันที่ 595,812 ราย ส่วนผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 26,439,712 ราย