เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (8 พ.ค.64) นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ/ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่าตนพร้อมด้วยนายสำรวย เกษกุล นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สันติ เหล่าประทาย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ปลัดจังหวัดศรีสะเกษ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดศรีสะเกษ ผู้แทน ผอ.รพ. ศรีสะเกษ ผู้แทน ผอ.สำนักงานควบคุมโรคที่ 10 จังหวัดอุบลราชธานี นายอำเภอกันทรารมย์ ผกก.สภ.กันทรารมย์ สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกันทรารมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์การดำเนินงาน ปัญหา และอุปสรรค การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในเขตพื้นที่อำเภอกันทรารมย์ เพื่อติดตาม กำกับ และควบคุมการดำเนินงานการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อ สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ อสม. และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำจุดตรวจหมู่บ้าน ณ บ้านดู่ ตำบลดู่ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในวันนี้ จำนวน 11 ราย รวมสะสม จำนวน 220 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว จำนวน 98 ราย คงเหลือยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จำนวน 122 ราย ซึ่งอำเภอที่พบการระบาดมากที่สุด คือ อ.เมืองศรีสะเกษ อ.กันทรลักษ์ และ อ.กันทรารมย์ ซึ่งเป็นอำเภอที่พบผู้ติดเชื้อมากสุดเป็นอันดับ 1 ของ จ.ศรีสะเกษ และมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวนหลายราย จึงมีคำสั่งให้ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพรโรคในพื้นที่ อ.กันทรารมย์ เป็นการชั่วคราว ได้แก่ ตลาดนัด ตลาดถนนคนเดิน ตั้งแต่วันที่ 9-22 พ.ค. นี้ สำหรับหมู่บ้านดู่ หมู่ที่ 1 และหมู่บ้านหนองยาง หมู่ที่ 5 ต.คู่ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พบผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวนหลายราย นั้น ได้มีคำสั่งห้ามพบปะหรือปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวอื่น ห้ามจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามจัดกิจกรรม สังสรรค์ งานเลี้ยง งานรื่นเริง โดยเด็ดขาด พร้อมให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน อาสาสมัครในหมู่บ้าน เช่น ชรบ. อสม. อปพร. ดำเนินการตั้งจุดตรวจคัดกรองคนเข้า-ออก หรือการเคลื่อนย้ายคนในพื้นที่ โดยตรวจบุคคล ยานพาหนะที่ผ่านจุดคัดกรองฯ และจัดทำบัญชีคัดกรองคนเข้าออกหมู่บ้าน โดยเฉพาะใน 2 หมู่บ้านดังกล่าวนี้อย่างเข้มข้น.
แต่เนื่องจากในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ กลุ่มคลัสเตอร์เกิดขึ้นหลายกลุ่มกระจายไปในหลายพื้นที่อย่างรวดเร็วทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมและผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อยกระดับการป้องกันและระงับยับยั้งการระบาดของโรค มิให้แพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง และควบคุมสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จังหวัดศรีสะเกษ จึงได้ออกประกาศคำสั่งจังหวัดศรีสะเกษ ฉบับที่ 17 โดยเนื้อหาสาระสำคัญระบุว่า ขอความร่วมมือประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษทุกคน งดเดินทางออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. ของวันถัดไป เว้นแต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องประกอบอาชีพหรือมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ พร้อมสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 9-22 พ.ค. นี้ ได้แก่ โต๊ะสนุกเกอร์ และสวนน้ำ สระว่ายน้ำที่เปิดให้บริการทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสระว่ายน้ำกลางในหมู่บ้านจัดสรร
พร้อมระบุให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดศรีสะเกษ ที่มาจากจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดพื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม ให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ และแสดงเอกสารรับรองความจำเป็น/การปฏิบัติหน้าที่/การติดต่อราชการตามหลักเกณฑ์การตรวจคัดกรองการเดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยให้กักกันตัวในที่พักอาศัยในบ้านหรือในสถานที่ที่ทางราชการจัดให้ ทุกคน เป็นเวลา 14 วัน โดยกำหนดให้บ้านเป็นที่เอกเทศ ผู้พักอาศัยในบ้านทุกคนต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา ไม่รับประทานอาหารและใช้ภาชนะร่วมกัน สวมหน้ากาก อนามัยหรือหน้ากากผ้า เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลมากกว่า 1 เมตร ทำความสะอาดมือและอุปกรณ์ที่สัมผัสบ่อย ๆ หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2548 หรือตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ





