วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 - นายแก้วสรร อติโพธิ ได้เผยแพร่บทความ เรื่อง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดี ร.อ.ธรรมนัส : ใหม่ที่นี่ - เก่าที่อื่น ? มีเนื้อหาดังนี้ ถาม อาจารย์ไปเอาคำ “ใหม่ที่นี่ เก่าที่อื่น ” มาจากไหน ตอบ เป็นคำที่อาโกเวลาเชียร์แขกขึ้นห้องกับผู้หญิง เขาก็มักจะรับรองว่า “ใหม่มากๆ ” แขกก็จะแซวกลับว่า “ใหม่ที่นี่ แต่เก่าที่อื่น” คือย้ายมาจากซ่องอื่นหรือเปล่า คำพิพากษาคดี รอ.ธรรมนัส ก็โดนแซวอย่างนี้เหมือนกัน ถาม แซวอย่างนี้ ได้ยังไง ครับ ตอบ คือเขาคิดว่า ถ้าใครถูกฟ้องอาญา และได้ต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมจนยุติ แล้วโดนพิพากษาลงโทษนั้น เพียงเท่านี้มันก็แสดงว่ามีคุณสมบัติไว้วางใจให้ดูแลบ้านเมืองไม่ได้แล้ว ส่วนจะถูกตัดสินโดยศาลออสเตรเลียหรือศาลไทยนั้น ฝ่ายนี้เขาก็เห็นว่าไม่สำคัญ เหมือนกับว่าถ้าหญิงบริการผู้ใดเก่าเป็นปีแล้ว ก็ต้องถือว่า “เก่า”ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ซ่องไหนก็ตามนั่นเอง ถาม พอศาลรัฐธรรมนูญไทยมาวินิจฉัยว่าต้องให้ศาลไทยตัดสินเท่านั้น ก็เลยถูกแซวเป็นอาโกไปเลย ตอบ มันเป็นแค่ตัวอย่างที่ใกล้ตัวเท่านั้น ไม่ได้เจตนาลบหลู่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆแล้ว มันเป็นความเห็นต่างในการตีความกฎหมายเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญท่านก็มีเหตุผลของท่านอยู่นะครับ ถาม มีเหตุผลที่ตรงไหน ตอบ ท่านเริ่มจากการมองว่า เรื่องขาดคุณสมบัตินักการเมืองเพราะต้องคำพิพากษาลงโทษอาญานี้ มันเป็นการรับเอาคำพิพากษาต่างประเทศเข้ามามีผลบังคับในระบบกฎหมายของเรา ซึ่งมันทำไม่ได้เพราะคำพิพากษานี้เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐอื่น ศาลใครก็ศาลมัน คำพิพากษาใครก็คำพิพากษามัน รัฐไทยจะไปยอมผูกพันด้วยไม่ได้ ถาม แล้วฝ่ายค้านเห็นต่างอย่างไร ตอบ ผมอยู่ฝ่ายนี้ ผมมองว่าคดีนี้เป็นเพียงการวางมาตรฐานความไว้วางใจของสังคมไทยด้วยกฎหมายไทยเองเท่านั้นว่า ถ้ามีคนโดนคำพิพากษาต่างประเทศลงโทษมาอย่างนี้ มันเพียงพอที่รัฐธรรมนูญไทยจะไม่ไว้วางใจหรือไม่ ซึ่งจะให้คำตอบอย่างไรก็เป็นอิสระตามดุลพินิจของเรา หาใช่การยอมรับหรือไม่ยอมรับอำนาจรัฐอื่นแต่อย่างใดไม่ ถาม ข้อห้ามที่ตัดสิทธิบุคคลนี่ จะตีความขยายกันได้ตามชอบเลยหรือครับ ตอบ สิทธิเป็น สส. หรือเป็นรัฐมนตรีนี่ ไม่มีในกฎหมายไทยนะครับ เรามีสิทธิ์ที่จะกำหนดได้ตามเหตุที่เห็นสมควร จะโดยเขียนเป็นกฎหมายให้ชัดเจนเลยก็ได้หรือโดยการตีความของศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ ถาม ถ้าเดินมาทางนี้ แล้วผมโดนศาลเขมรลงโทษฐานรุกล้ำพรมแดน แบบ คุณพนิต สส.ประชาธิปัตย์ อย่างนี้ก็ต้องพ้น สส.พ้นรัฐมนตรีด้วยหรือครับ ตอบ คงเตลิดไปอย่างนั้นไม่ได้ ตรงจุดนี้ต้องถือเป็นช่องว่างทางกฎหมาย ที่สามารถหาคำตอบจากการเทียบเคียงบทกฎหมายไทยต่างๆได้ ซึ่งเมื่อเทียบดูแล้ว ก็พบแนวทางที่เทียบเคียงจากประมวลกฎหมายอาญาได้ว่า ความผิดนอกราชอาณาจักรนั้น กฎหมายไทยจะเอาเรื่องด้วยอำนาจอาญาก็แต่เฉพาะความผิดสำคัญๆ ที่เป็นอาญาแท้ๆเท่านั้น เรื่องลอบเข้าเมือง แบบ สส.พนิต หรือหนีภาษี,ขับรถไม่มีใบอนุญาต, บุกรุกอุทยานฯลฯ เหล่านี้ แม้ถึงจำคุกได้แต่มันไม่ใช่อาญาแท้ เป็นเรื่องผิดเพราะกฎหมายห้ามเท่านั้น ที่กฎหมายอาญาไทยไม่ควรไปสนใจ แนวทางตามกฎหมายอาญาที่กล่าวมานี้นี่เอง ที่กฎหมายคุณสมบัตินักการเมืองของไทยก็ควรจะเทียบเคียงนำมาใช้อุดช่องว่างได้ ถาม คดีคุณธรรมนัส เป็นคดียาเสพติด กฎหมายอาญาไทยเอาเรื่องข้ามประเทศได้ไหม ตอบ กฎหมายอาญาเราเอาเรื่องคดียาเสพติดเฉพาะที่เป็นการค้าคือนำเข้าและจำหน่ายเท่านั้นครับ ถ้าเป็นครอบครองหรือเสพเราไม่ยุ่ง ตรงนี้ถ้าจะอุดช่องว่างในคดีรัฐธรรมนูญตามแนวทางกฎหมายอาญาอย่างเช่นที่กล่าวมา ศาลรัฐธรรมนูญไทยต้องหาทางเอาสำเนาคำพิพากษาศาลออสเตรเลียมาเข้าสำนวนให้ได้ว่า คำพิพากษานี้ตัดสินลงโทษฐานใดกันแน่ ถาม ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญท่านได้หมายเรียกสำเนาคำพิพากษาจากคู่ความและปลัดกระทรวงต่างประเทศแล้วนี่ครับ แต่ไม่มีใครส่งให้เลย ตอบ ผมว่าถึงจุดนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจ ออกหมายให้ทางการไทยขอตรงจากทางการออสเตรเลีย โดยอ้างความผูกพันตามอนุสัญญาปราบปรามการค้ายาเสพติดประกอบไปด้วยได้เลย เพราะทั้งเราและเขาเป็นสมาชิกด้วยกันทั้งคู่ ถ้าออสเตรเลียไม่ให้ เขาจะตกที่นั่งไม่เคารพอนุสัญญาไปในทันที ถาม ด้วยแนวทางการใช้กฎหมายที่เห็นต่างกับศาลเช่นที่ลำดับมานี้ ก็เพียงพอที่จะวินิจฉัยให้ ร.อ.ธรรมนัส พ้นตำแหน่ง สส.และรัฐมนตรีได้แล้วใช่ไหม ตอบ ถ้าตีความแล้วอุดช่องว่างอย่างนี้ กฎหมายก็เปิดทางครบถ้วนแล้วครับ เหลือแต่คำตอบทางข้อเท็จจริงต่อไปเท่านั้นว่า ศาลออสเตรเลียลงโทษตามกฎหมายยาเสพติดฐานใด ใช่ฐานค้ายาคือนำเข้าและจำหน่ายหรือไม่ ถาม ท้ายที่สุดนี้ เราจะมองความแตกต่างทางความคิดเห็น ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น อย่างไรครับ ตอบ สองแนวทางนี้ใช้กฎหมายด้วยนิติวิธีที่ต่างกัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอในทางนิติศาสตร์แต่ศาลท่านมีอำนาจตามกฎหมายเราก็ต้องยอมรับยุติตามที่ท่านวินิจฉัย ถาม มีความเห็นเสนอว่า ยังมีช่องทางร้องให้ ปปช.วินิจฉัยว่า เป็นเรื่องขัดจริยธรรมอย่างร้ายแรงแล้วส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง สส.และรัฐมนตรีได้ ตอบ ผมว่าช่องทางนี้เดินไม่ได้นะครับ เพราะการกระทำผิดที่จะกล่าวหากันนั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งแต่อย่างใด มันเกิดเป็นคดีมานานกว่า ๓๐ ปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ถาม สรุปแล้วคดีไม่มีทางไปทางไหนได้อีก ตอบ อำนาจตรวจสอบของศาลและองค์กรอิสระไม่มีแล้ว ไม่รู้จะร้องใครได้แล้ว เหลือแต่อำนาจของผู้รับผิดชอบทางการเมืองเท่านั้น ถาม เขาทำอะไรได้หรือครับ ตอบ ตัวนายกรัฐมนตรีเองนั้น มีอำนาจหน้าที่สอบสวนในทางบริหารอยู่แล้วเพราะเป็นคดียาเสพติด ที่มีระเบียบสำนักนายกฯ กำหนดเป็นหน้าที่ผู้บังคับบัญชาไว้ชัดเจนว่าอยู่เฉยไม่ได้ ถ้าสอบแล้วได้ความว่าเป็นคำพิพากษาลงโทษฐานค้ายา ตรงนี้นายกฯก็ต้องปรับบุคคลนี้ออกจากรัฐมนตรี ส่วนพรรคต้นสังกัด ก็ต้องมีมติให้พ้นจากพรรคแล้วหลุดจาก สส.ตามไปด้วย ทั้งหมดนี้ทำได้ทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าจะรู้จักถูกผิด รู้จักรับผิดชอบหรือไม่เท่านั้น เฉยลูกเดียวหรือหลายลูกอย่างนี้มันเริ่มจะรับไม่ไหวกันแล้วนะครับท่านครับ