ศูนย์ปฏิบัติการผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ประสานกำลังชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ เข้าขยายผลตรวจหากากของเสียอุตสาหกรรมที่ถูกลักลอบฝังกลบในพื้นที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่นครราชสีมา หลังจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา กรมป่าไม้ได้ดำเนินการตรวจยึดพื้นที่ 23 ไร่เศษ เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง นายชีวะภาพ ชีวะธรรม รองอธิบดีกรมป่าไม้ สั่งการให้นายสมบูรณ์ ธีรบัณฑิตกุล ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สนธิกำลังหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) ลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีได้รับการประสานจากศูนย์ปฏิบัติการผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ให้ร่วมลงพื้นที่ขยายผลเพิ่มเติม กรณีมีประชาชนร้องเรียนว่าบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งฝังกลบกากของเสียอุตสาหกรรมบริเวณพื้นที่โรงงาน และส่งกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชน ซึ่งเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 กรมป่าไม้ได้เข้าดำเนินการตรวจยึดพื้นที่ 23 ไร่เศษ และได้แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกลางดง เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง ปฏิบัติการครั้งนี้นำโดยนางสาวผานิต รัตสุข ผู้อำนวยการกองตรวจมลพิษ พร้อมด้วยนายฮาเล็ม เจะมาริกัน ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 11 (นครราชสีมา) นำกำลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) กรมป่าไม้ นำโดยนายชาญชัย กิจศักดาภาพ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นม.1 ปากช่อง เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครราชสีมา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกลางดง เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลสีมามงคล เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ของบริษัท เพื่อร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นำรถแบคโฮขุดในจุดที่มีการตรวจพบค่าไอระเหยของสารอินทรีย์ระเหยง่าย โดยวิธี Soil gas จำนวน 4 จุด ในระดับความลึก 4-5 เมตร พบว่าทุกจุดมีกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรง และมีชั้นดินที่มีลักษณะการทับถมเป็นชั้น บางชั้นมีลักษณะของสารปนเปื้อนอยู่ ซึ่งขณะตรวจสอบไม่พบการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้เพิ่มเติมแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำบันทึก และได้เก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนทั้ง 4 จุด นำไปวิเคราะห์ยังห้องปฏิบัติการ และนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อใช้เป็นหลักฐานในคดีตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป.