ภายใต้ปรากฏการณ์ “ย้ายประเทศ” และ “กระแสทัวร์วัคซีน” สะท้อนถึงอารมณ์หงุดหงิด และไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่ามกลางการรับมือกับศึกโควิดระลอก 3 ที่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด ไร้วี่แววว่าจะคลี่คลายลงได้ในเร็ววัน จาก “คลัสเตอร์คริสตัลคลับทองหล่อ” ส่งไม้ต่อถึง “คลัสเตอร์คลองเตย” จน “บิ๊กตู่”ต้องตัดสินใจยึดเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร นั่งหัวโต๊ะเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลด้วยตัวเองอีกตำแหน่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยึดอำนาจการสั่งการของงรัฐมนตรีตามกฎหมาย 31 ฉบับมาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวแล้ว เพราะหากไม่สามารถจำกัดวงการแพร่ระบาดของ “คลัสเตอร์คลองเตย”ได้ วิกฤติอาจลุกลามใหญ่หลวง แม้ก่อนหน้านี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ปม ไม่ได้เตียง ไม่ได้ตรวจ จะเริ่มซาลงไปแล้ว แต่เมื่อตัวเลขการติดเชื้อยังพุ่งไม่หยุด ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจึงหวนกลับมาพุ่งเป้าเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้า และความโปร่งใส พร้อมโหนกระแสขยายแผลไล่ถล่มไล่พ้นตึกไทยคู่ฟ้า โดยเฉพาะเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็สวมบท “พี่โทนี่” ออกมาแนะนำให้รัฐบาลยืมวัคซีนจากต่างประเทศมาฉีดให้กับคนไทยก่อน พร้อมทั้งแฉว่า มีวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์เข้ามาในไทยแล้วแบบพิเศษก่อนหน้านี้แต่ไม่รู้เอาไปฉีดให้ใคร ท่ามกลางความวิตกกังวลของคนในสังคมอยู่ และจังหวะที่ไทยเปิดลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนผ่าน “หมอพร้อม” การเปิดข้อมูล “วัคซีนไฟเซอร์” จึงไม่ต่างกับการ “วางระเบิด”ใส่ “บิ๊กตู่” เต็มๆ!! ทำให้เกิดข้อสังสัย ไม่เชื่อมั่น และไม่ไว้วางใจ!! ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของ “ทักษิณ” ที่ไปตีความเอาจากข่าวของนิวยอร์กไทม์ที่กระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงแผนการอนุมัติให้ผู้ที่ได้รับวัคซีน 7 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ไฟเซอร์ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นเรื่องอนาคตที่หากมีผู้ที่ได้รับวัคซีนหนึ่งใน 7 ชนิดนี้แล้วเดินทางมาไทยและจะได้ลดวันกักตัวด้วยระยะเวลาน้อยลง แต่ดูเหมือนว่า คนเลือกที่จะเชื่อ “ทักษิณ” เพราะแม้เพจไทยคู่ฟ้า จะออกมาชี้แจงโดยอ้าง อย.ยืนยันว่า “ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด” โดยขณะนี้วัคซีนไฟเซอร์ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนและอนุญาตให้นำเข้ามา และเมื่อตรวจสอบไปยังบริษัทผู้ผลิตก็ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถจะหยุดกระแสได้ กระทั่ง บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ต้องออกมาแถลงการณ์ชี้แจงเอง ว่ายังไม่มีการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ในประเทศไทย ขณะที่นิวยอร์คไทม์ ก็ตัดสินใจแก้ไขข่าวดังกล่าว เอาชื่อไทยออกจากประเทศที่ไฟเซอร์นำเข้าวัคซีนแล้ว เช่นเดียวกับหลายเรื่องที่รัฐบาลพยายามชี้แจง กรณีแผนการจัดหาวัคซีนที่ไทยไม่ได้ลงไปทุ่มซื้อกับผู้ผลิตวัคซีนแต่แรก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่วัคซีนอาจไม่ประสบความสำเร็จ และเลือกผู้ผลิตที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ด้วยไม่ใช่ขายอย่างเดียว แต่ความพยายามชี้แจงของรัฐบาลกลับไม่เป็นผล จนต้องให้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้แจงเอง แต่ต่อมาก็เกิดปรากฏการณ์ที่ไอโอของฝ่ายตรงข้าม ตามไปถล่มบรรดาอาจารย์แพทย์ เพื่อดิสเครดิตอีก จนน่าห่วงว่าวิกฤติศรัทธานี้จะลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบที่อันตรายที่ใหญ่หลวงในอนาคต หากสังคมพากันเชื่อถือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อ “บิ๊กตู่” เลือกที่จะไม่ปริปากให้ความเห็นกรณี “ทักษิณ” ปูดข้อมูลเรื่องวัคซีนไฟเซอร์ เมื่อสงครามการเมือง เปลี่ยนเรื่อง “จริง” ให้เป็นเรื่อง “ไม่จริง” เปลี่ยนเรื่อง “เล็ก” ให้กลายเป็นเรื่อง “ใหญ่” และเปลี่ยนเรื่อง “ใหญ่”ให้กลายเป็น “วิกฤติ” แต่หากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ ทำไมสังคมจึงเชื่อ “ทักษิณ” เพราะ “ทักษิณ”เก่งกว่าหรือ? กูรูการเมืองบอกว่า ไม่แน่ เศรษฐกิจสาหัสขนาดนี้ ต่อให้ 10 ทักษิณก็แก้โจทย์ได้ยาก แต่ที่แน่ๆ คือ “ทักษิณ”พูดเก่ง และมีผู้สนับสนุนที่ชัดเจน ในขณะที่รัฐบาล “บิ๊กตู่” ศัตรูเยอะเกินไป ! เพราะหากย้อนหวนทวนความไป ปมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชารัฐ หักดิบพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชนิดไม่ไว้ไมตรี โดยพรรคภูมิใจไทยนั้น ตกที่นั่งลำบาก ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน.. เพราะคนแดนไกล เคยลั่นวาจาไว้ ว่าหากได้เป็นรัฐบาล จะเอาพรรคภูมิใจไทยร่วมด้วย แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่มี'ก๊วนเนวิน'! และมาขยี้ซ้ำด้วยคำสั่งแบ่งงานรัฐมนตรี ที่ว่ากันว่าเป็นการปูทางเลือกตั้งใหญ่ ที่สำคัญคือการส่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไปยึดหัวเมืองภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงของประชาธิปัตย์ หลังปาดหน้าเค้กลงสู้ศึกเลือกตั้งส.ส.นครศรีธรรมราช ส.ส.เขต 3 จนได้รับชัยชนะมาแล้วก่อนหน้านี้ แม้พรรคประชาธิปัตย์หะแรกจะเจ็บแต่เก็บอาการ แต่ในจังหวะที่กระบวนปราบโควิดระลอก 3 ยังลูกผีลูกคน เสียงโวยของพรรคประชาธิปัตย์ปมแบ่งงานรัฐมนตรี จึงดังกว่าปกติ และที่สุด “บิ๊กตู่”ก็ยอมถอยทัพ ถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งหากเป็นในช่วงการระบาดระลอกแรก ที่ “บิ๊กตู่” เป็นฮีโร่สู้โควิด ประชาธิปัตย์อาจต้องยอมกลืนเลือดก็เป็นได้ เนื่องจากดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว “บิ๊กตู่” ไม่ควรเปิดศึกหลายด้าน ทั้งโควิดก็รุก ฝ่ายค้านก็เร้า คนไกลก็เข้ามารุม ม็อบก็ระริกระรี้ หากสัมพันธ์กับคนกันเองอย่างประชาธิปัตย์ต้องร้าวฉาน เรือเหล็กของรัฐบาลประยุทธ์ก็อาจจะล่มได้ จึงต้อง “พักรบ” ไว้ก่อน ขณะที่ล่าสุด เรือเหล็กของรัฐบาลยังถูกกระแทกด้วยคลื่นลูกใหญ่ หลังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ว่า ไม่มีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกภาพ ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี เนื่องจากคดียาเสพติดเกิดขึ้นในออสเตรเลีย ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย ซึ่งไม่ผูกพันกฎหมายไทยตามหลักอำนาจอธิปไตย แม้เป้าหมายหลักที่ถูกกระแทกจะอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ด้วย “ร.อ.ธรรมนัส”เป็นมือการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกแรงเหวี่ยงมากระทบ และเปิดเกมให้ฝ่ายตรงข้ามไล่ขยี้เรื่องกระบวนการยุติธรรมซ้ำเข้าไปอีกดอก เดชะบุญ ที่เสียงในสภาฯยังแข็งแกร่ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามยังอ่อนแอ เสียงวิจารณ์ต่างๆนั้น ยังขาดพลังในการกดดันรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมได้ แม้แต่การเคลื่อนขบวนบนท้องถนน ก็ไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ หากยังไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ ตามสูตร แก้ว 3 ประการคือ เป้าหมายชัดเจน ผู้นำถูกฝาถูกตัวและท่อน้ำเลี้ยง ทำให้รัฐบาลประคองตัวไปได้ต่อ แต่ก็ใช่ว่าจะยื้อกินบุญเก่า อยู่อย่างนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง รัฐบาล “บิ๊กตู่” คงต้องเร่งกู้วิกฤติศรัทธา นอกจากการสกัดกั้นโควิดระลอก 3 กดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ต่ำลงในวงจำกัด และรอผลของมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอุ้มประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ซึ่งครม. เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เพิ่งอนุมัติโครงการมหานิยม ทั้ง “คนละครึ่งเฟส 3” “ม33 เรารักกัน” และโครงการใหม่ “ยิ่งใช้ยิ่งดี” แจก E-Voucher 5 พันไม่เกิน 7 พัน บาท ขณะเดียวกันก็มีข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐมนตรีบางคน ได้เตรียมขนของออกจากเพนท์เฮาส์สุดหรูที่เช่าไว้ทั้งฟลอร์ เตรียมกลับบ้านทั้งที่จ่ายค่าเช่ารายปีไปแล้ว จะมีนัยะสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงใดของรัฐบาลหรือไม่ น่าติดตาม