ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพส์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ไปต่อ การต้องคำพิพากษาศาลในออสเตรเลีย ไม่มีผลต่อคุณสมบัติ การเป็น รมต. และ สส. เพราะไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย อันเป็น เหตุผลเดียวกับที่ ร.อ.ธรรมนัส เคยชี้แจงในสภา เมื่อครั้งที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนที่สุดฝ่ายค้าน ยื่นให้ประธานสภาฯ ส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นั่นเองโดยที่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 เลยทีเดียว จึงทำให้คำวินิจฉัย ของ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเสมือน ใบรับประกันคุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัส ในทางการเมือง และจะเป็นบรรทัดฐาน ของบุคคลที่จะมาเป็น ส.ส.และ รมต.ในอนาคตด้วย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนัก เพราะมันเป็นคดียาเสพติด จนฝ่ายค้าน ประกาศจะยื่น ป.ป.ช.ต่อ โดยเฉพาะในโซเชียลฯ ที่ถล่มศาลรัฐธรรมนูญ และตอกย้ำความเชื่อที่ว่า ถ้าอยู่ฝั่งรัฐบาล รอดทุกราย แม้จะยอมรับว่า ตนเอง เป็น คนเทาๆ จนได้ฉายาจากนักข่าวทำเนียบรัฐบาลว่า เทามนัส แต่ ร.อ.ธรรมนัส ก็ยืนยันว่า คดียาเสพติดครั้งนั้น มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยที่ตนเองยังไม่มีความรู้ จึงตกเป็นเหยื่อของคดีนี้ และไม่เคยถูกขังคุก แต่ถูกส่งไปฝึกงาน ฝึกอาชีพ ในพื้นที่ต่างๆ คำวินิจฉัย ของ ศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งนี้ มีความหมายยิ่งต่อ ร.อ.ธรรมนัส ที่ถูกโจมตีในเรื่องคุณสมบัติ จากเรื่องคดียาเสพติด มายาวนานหลายสิบปี ได้ปลดแอกจากข้อกล่าวหานี้ และเป็นเสมือนใบเบิกทาง ทางการเมือง โดยเฉพาะเก้าอี้แรกที่ลุ้น คือ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่เดิมมีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส จะสนับสนุน สันติ พร้อมพัฒน์ ผอ.พรรค และรมช.คลัง ที่อยู่ในกลุ่ม 4 รมช.ด้วยกัน ให้เป็นเลขาธิการพปชร. ก่อน เพื่อสู้กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แกนนำกลุ่มสามมิตร แต่เมื่อรูปการณ์ เป็นเช่นนี้ โอกาสที่ ร.อ.ธรรมนัส จะนั่งเป็น เลขาฯ พปชร.เองเลย จึงมีสูงมาก เพราะ ส.ส.ก็สนับสนุนอยู่แล้ว อย่าลืมว่า ร.อ.ธรรมนัส เป็นเส้นเลือดใหญ่ของพรรค ที่คุมสวนกล้วย คุมเล็ก คุมเกมการเมือง ในฐานะมือขวาของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ย่อมมีบารมีในพรรค อาจกล่าวได้ว่า เป็น เบอร์ 2 ของพรรค รองจาก พล.อ.ประวิตร เลยทีเดียว จึงทำให้ อนาคตของ ร.อ.ธรรมนัส ในทางการเมือง น่าจับตามองยิ่ง ในแง่ของการเป็น ทายาทของ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นพี่ใหญ่ของ3 ป. เป็นแม่ทัพฝ่ายการเมืองของ 3 ป. ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้งการเป็นหัวหน้าพรรคพปชร.ในอนาคต เมื่อ พล.อ.ประวิตร ต้องการวางมือ หรือไปต่อไม่ไหว ไม่ว่าจะโดยสุขภาพ หรือโดยยุทธศาสตร์ ก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส ก็จ่อที่จะเป็น หัวหน้าพรรค พปชร.ได้ เพราะมีความพร้อมทุกด้าน คงมีแค่ เงื่อนไขเดียวคือ หาก พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง แทนพี่ใหญ่ หรือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รอง แต่ก็จะมี ร.อ.ธรรมนัส เป็น เลขาฯพรรค. ที่จะเป็นแม่ทัพทางการเมืองให้ 3 ป.ต่อไป. และทำหน้าที่ ผู้จัดการรัฐบาลให้ด้วย และรอวัน ที่จะเป็น หัวหน้าพรรคเอง ในอีกด้านหนึ่ง ร.อ.ธรรมนัส ก็เตรียมตั้งพรรคการเมืองของตนเอง อยู่แล้ว ด้วย ก็มีทางเลือกอยู่ไม่น้อย อีกทั้ง การที่ ร.อ.ธรรมนัส ได้มาเป็น รมช.เกษตรฯ ก็ได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ โดย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แล้ว ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และเข้าถวายสัตย์ฯ เป็นรมต. นั่นย่อมหมายถึง ร.อ.ธรรมนัส ได้ไฟเขียว ให้เป็น รมต.มาแล้ว และ มามีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สำทับอีกครั้ง ในทางตัวบทกฎหมาย อาจไม่เป็นอุปสรรค แต่ทว่า ในแง่ภาพลักษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ยอมรับว่า ตนเองเป็นคนเทาๆ.และเคยต้องคำพิพากษา คดียาเสพติด ในออสเตรเลีย จึงจะกลายเป็นประเด็น ที่จะถูกโจมตี เหน็บแนม กันต่อไป โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “มันคือ แป้ง” แต่ทว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เก้าอี้ รมว. ก็คงไม่พ้นมือ ร.อ.ธรรมนัส ส่วนเก้าอี้ หัวหน้าพรรคพปชร. ก็ไม่เกินเอื้อม จากนี้ไป ร.อ.ธรรมนัส จึงเป็นนักการเมือง ที่น่าจับตามองยิ่ง .