จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัส และผู้เสียชีวิต เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบในทุกมิติ ทั้งรายได้ที่ใช้ในการดำรงชีวิต และการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังไม่รู้ทิศทางจะไปทางใด!?! โดย “สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย” พบว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ฉุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หรือเศรษฐกิจหดตัวไตรมาสเทียบไตรมาส ติดต่อกัน 2 ไตรมาส อย่างไรก็ดีรอบนี้แตกต่างตรงที่เศรษฐกิจเทียบปีต่อปีจะไม่ถดถอยรุนแรงเท่าปีที่แล้ว เพราะมีภาคการส่งออกเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ โดยการส่งออกเดือน มี.ค.เติบโตก้าวกระโดดขึ้นมาที่ 8% จากการเร่งตัวของเศรษฐกิจในจีนและสหรัฐ จึงคาดว่าการส่งออกปีนี้จะเติบโตถึง 10% จากอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เคมี ยาง และกลุ่มอาหาร รวมถึงการจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกที่จะฟื้นตัวได้ดีอีกด้วย ขณะที่ทางด้าน “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” (ส.อ.ท.) ออกมาเสนอแนะรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจหากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ยืดเยื้อ โดย “เกรียงไกร เธียรนุกุล” รองประธานส.อ.ท. ระบุว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งประเมินว่าทุก 1 เดือนจะกระทบต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 0.5% ขณะที่รัฐวางเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 100 ล้านโดสให้เสร็จสิ้นปีนี้ ซึ่งระหว่างนี้รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนในการจัดหาเงินเพื่ออัดฉีดเงินเข้าฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจไว้ล่วงหน้าโดย ระยะสั้นคาดจะเป็นวงเงิน 4-5 แสนล้านบาท แต่หากยืดเยื้อเกิน 3 เดือนอาจจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนราว 1 ล้านล้านบาท “ การที่รัฐบาลวางงบกลางปี2565 เพื่อฟื้นเศรษฐกิจวงเงิน 3-4 แสนล้านบาทเป็นเรื่องที่ดีเพราะตอนนี้การระบาดของโควิด-19 รอบใหม่กระทบกิจการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)อย่างมากโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว บริการ ค้าปลีก และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้คงจะมายากแล้ว แต่เห็นว่าวงเงินนี้ไม่น่าจะเพียงพอหากยืดเยื้อซึ่งดูจากรอบแรกเรากู้เงินมา 1 ล้านล้านบาทซึ่งขณะนี้ยังเหลืออีก 2.4 แสนล้านบาทดังนั้นกว่าจะมีการฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสในสิ้นปีที่รัฐวางไว้ระหว่างนี้เราต้องเร่งอัดฉีดและเมื่อฉีดวัคซีนครบก็จะต้องมีเงินเตรียมไว้ล่วงหน้าซึ่งเห็นว่าต้องมีไว้ 1 ล้านล้านบาทไม่รวมกับของเดิมที่เหลืออยู่เป็น2.4 แสนล้านบาท” นายเกรียงไกร ระบุอีกว่า แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์เหมือนรอบแรก แต่ก็ดำเนินการกับพื้นที่สีแดงลักษณะกึ่งล็อกดาวน์ เช่น ให้เน้นมีการทำงานที่บ้าน(WFH) กำหนดห้างร้านห้ามเปิดให้นั่งทานอาหารภายในร้านต้องกลับไปทานที่บ้าน มีการกำหนดเปิด-ปิดห้างร้านขายของต่างๆ ปิดสถานที่เสี่ยง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนกระทบต่อกิจการ ห้าง ร้าน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากเดิมที่เริ่มจะฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการจ้างแรงงานอยู่พอสมควร จึงทำให้ธุรกิจเหล่านี้ยังคงมีความเปราะบาง ที่รัฐต้องรีบเข้ามาช่วยเหลือ อีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 “ฐนิวรรณ กุลมงคล” นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า คำสั่งที่ทางคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ไม่อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้านในพื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นเวลา 14 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป สมาคมฯได้ทำหนังสือยื่นให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากสร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งภาพรวมธุรกิจ ตั้งแต่รายใหญ่จนถึงรายย่อย จึงต้องการให้รัฐบาลอนุญาตให้ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. งดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน และขอให้พิจารณาอนุญาตตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมนี้ “ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐบาลจะสั่งมาตรการอะไรออกมา ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือทั้งหมด เพราะต้องการกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจใหม่อีกครั้ง เนื่องจากรายได้ที่หายไปทั้งในช่วงต้องปิดชั่วคราว หรือการห้ามไม่ให้นั่งทานที่ร้าน ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งกับเจ้าของร้านและพนักงาน แต่ความบาดเจ็บสะสมที่เกิดขึ้นมากว่า 1 ปี ตั้งแต่การระบาดระลอกแรก ธุรกิจร้านอาหารยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลเลย แม้จะได้รับผลกระทบทางตรงและรุนแรงมาตลอด" และนี้เป็นเสียงสะท้อนที่มาจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19! แม้จะเป็นเพียงบางส่วนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเยียวยา! แต่ถ้าไม่มีเสียงตอบรับจากรัฐบาล!! สุดท้ายจะกลายเป็นช่องโหว่ที่ยากจะแก้ไข!