จากกรณีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ศาลระบุว่า คำตัดสินของศาลต่างประเทศให้จำคุก ไม่ผูกพันกับรัฐไทย ดังนั้นจึงสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปได้ ล่าสุด มีผู้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 5) ซึ่งได้พิจารณาปัญหาดังกล่าว ในปี 2525 มาเผยแพร่ ใจความว่า เมื่อได้พิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ 2521) บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แล้วเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ระบุว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำคุกของศาลในประเทศใด และบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม และขัดกับเหตุผลในกรณี เช่น ความผิดอย่างเดียวกัน มีโทษอย่างเดียวกัน ถ้าทำผิดในประเทศ ต้องห้าม ถ้าทำผิดในต่างประเทศไม่ต้องห้าม ฉะนั้น บุคคลใดเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกจำคุกในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ ก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามเจตนารมณ์แห่งมาตรา 96 ( 5) และ (8) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ในการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุคคลใดที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกไม่ว่าในประเทศหรือในต่างประเทศตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อย่างไรก็ตาม ในปี 2554 คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เปลี่ยนแนวคำวินิจฉัย มายึดหลักการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีร.อ.ธรรมนัส ตามเอกสารดังต่อไปนี้ ในหน้า 2 และ 3 (http://web.krisdika.go.th/data/comment/comment2/2554/c2_0562_2554.pdf?fb...)