กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบรับมาตรการรัฐควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม อนุญาตให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) เต็มพิกัด (90%) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พ.ค.64 ลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของเชื้อ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกพื้นที่ มั่นใจยังสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ได้ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาดำเนินการ Work from Home มาตรการขั้นสูงสุดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อลดการรวมกลุ่มของบุคคล อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะลดการแพร่เชื้อได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ขอให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกแห่ง ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดส่วนกลางปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) เต็มพิกัด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของสัดส่วนจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้มาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานที่ตั้งส่วนกลาง รวมทั้งให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคน สามารถเหลื่อมเวลาปฏิบัติงานได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและลักษณะงานขององค์กร เพื่อลดความเสี่ยงการติดและแพร่กระจายของโรคโควิด -19 เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1–31 พฤษภาคม 2564
ทั้งนี้เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงฯได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติงาน ณ ที่พักอาศัย (Work from Home) อย่างเต็มขีดความสามารถ จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะผ่อนคลายลง พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตัวตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาหากจำเป็นต้องเข้ามาปฏิบัติงานในสถานที่ราชการ พร้อมจัดตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคนก่อนเข้าอาคาร โดยขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตามในส่วนของการดำเนินงานจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอพพลิเคชั่นไลน์ หรืออีเมล์ มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้มีข้อติดขัดหรือเกิดปัญหากับการให้บริการประชาชนได้