แม่ชีศิษย์เอกคนสนิทแม่ชีอู๋ อ้างเป็นภิกษุณีลวงโลก ยังยืนยัน ขอจำวัดดูแลสำนักปฏิบัติธรรม ถือศีลต่อเนื่อง ปล่อยให้กฎหมายดำเนินการตามทางโลก มั่นใจเจ้าสำนักไม่มีเจตนาตุ๋นเงิน แต่หมุนไม่ทัน ชาวบ้านไม่เข้าใจเจตนาแท้จริง ต้องการทำทานแก่คนทุกข์ยาก สอนแนวทางสู่ความสงบสุขมาตลอด ส่วนชาวบ้านในพื้นที่เผยไม่เคยศรัทธามาก่อน ตั้งข้อสังเกตเปิดสำนักอยู่กินกันเอง ต่างจากวัด
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ความคืบหน้าเกี่ยวกับ คดีดัง แม่ชีลวงโลก หลังทางตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง นำหมายจับศาลจังหวัดนครพนม เข้าจับกุม ภิกษุณีเก๊ลวงโลก เจ้าสำนักลัทธิห่มแดง คือ นางสาวอิสรีย์ หรือพระยาธรรมมิกราช อินทร์ไชยา หรือแม่ชีอู๋ อายุ 49 ปี ซึ่งตั้งตนเป็นภิกษุณีเจ้าสำนัก อาศัยอยู่ภายในสำนักปฏิบัติธรรม วิปัสสนา พระพุทธสิกขี ตั้งอยู่ เลขที่ 210 หมู่ 1 บ้านดงโชค ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม โดยทางตำรวจได้นำหมายศาลเข้าจับกุม ฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ล่าสุดมีการขยายผลจับกุม แม่ชีที่เป็นนายหน้า เดินสายตระเวนหาลูกค้า ซื้อกองผ้าป่าแบบคืนกำไรสูง ลักษณะแบบแชร์ลูกโซ่ มีผู้ต้องหาทั้งหมดรวมถึงมี่ชีเจ้าสำนัก จำนวน 5 ราย อยู่ระหว่างการฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดนครพนม รอการดำเนินคดี ทำให้มีผู้เสียหาย รวมกว่า 400 ราย ในพื้นที่ อ.ปลาปาก อ.เมือง และ อ.ท่าอุเทน รวมมูลค่าความเสียหายประมาณกว่า 10 ล้านบาท
ล่าสุดทางผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบ ที่ สำนักปฏิบัติธรรม วิปัสสนา พระพุทธสิกขี ตั้งอยู่ เลขที่ 210 หมู่ 1 บ้านดงโชค ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม หลังเจ้าสำนักถูกจับกุม ยังพบว่า มีแม่ชี จำนวน 6 คน อาศัยอยู่ และยังจำวัดปฏิบัติธรรมเป็นปกติ พร้อมห้ามบุคคลภายนอกเข้าไป รวมถึงผู้สื่อข่าว อ้างว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล จะต้องได้รับอนุญาต
ขณะเดียวกัน ได้มี แม่ชีปลาย อายุ 34 ปี ลูกศิษย์เอกคนสนิท เจ้าสำนัก พื้นฐานเป็นชาว อ.ปลาปาก จ.นครพนม ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า หลังเจ้าสำนักถูกจับกุมตามกฎหมาย แต่ภายในสำนักปฏิบัติธรรม ยังคงดำเนินกิจวัตรของแม่ชีเป็นปกติ ปัจจุบันมีแม่ชีอยู่ ทั้งหมด 6 คน ทุกวันจะมีการเจริญภาวนา ถือศีล 8 ตามหลักธรรมมะ เพื่อความสงบทางจิตใจ ยอมรับมีความกังวลบ้างหลังเจ้าสำนักถูกดำเนินคดี แต่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวขอให้เป็นไปตามทางโลก ส่วนทางธรรมยังคงดำเนินกิจวัตรไปตามปกติ ซึ่งตนมาอาศัยปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งนี้ เมื่อประมาณ 1 ปี เพราะอย่าร้างกับสามี จึงหันหน้าเข้าปฏิบัติธรรม และมีคนแนะนำมาที่สำนักแห่งนี้ ยืนยันว่า เจ้าสำนักสอนในสิ่งดี มาตลอดตามหลักศาสนา ส่วนเรื่องการซื้อกองทุนผ้าป่า ตนมั่นใจว่าเจ้าสำนักไม่มีเจตนาจะโกงใคร ตั้งขึ้นมา เพราะอยากช่วยเหลือคนจากจน ตกทุกข์ได้ยาก แต่มีปัญหาเพราะคนที่มาทำบุญเกิดความโลภ และทำให้การหมุนเวียนเงินไม่ทัน และมีการแจ้งความดำเนินคดีตามมา โดยไม่เข้าใจถึงเจตนาของเจ้าสำนึกที่ต้องการจะให้ทำทาน ซึ่งต้องรอเวลาในการจ่ายเงิน เพราะจะต้องหมุนเวียน แต่ตนไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องเงิน เพียงมาช่วยเหลือในกิจกรรมปฏิบัติธรรม และทำอาหาร กินเองภายในสำนัก เพราะไม่ได้รับบริจาคกับชาวบ้าน เรื่องข้าวปลาอาหาร อย่างไรก็ตาม ยืนยันที่จะเดินหน้าปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเลือกเส้นทางนี้แล้ว
ขณะเดียวกัน ทางด้าน นางสดศรี จันทะฝ่าย อายุ 60 ปี ซึ่งมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยติดรั้วสำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าว เปิดเผยว่า สำหรับสำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าว ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ส่วนบุคคล ของ เจ้าสำนัก หรือที่ชาวบ้านรู้จักในชื่อ คือแม่ชีอู๋ ตั้งแต่ประมาณ ปี 2557 โดยเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่ติดต่อกับบุคคลภายนอกในหมู่บ้าน และมีอาณาเขตเป็นส่วนตัว ห้ามบุคคลภายนอกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต บางช่วง จะมีพระ รวมถึงแม่ชีต่างถิ่น เข้ามาพักอาศัยปฏิบัติธรรมภายใน หลายรูป แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้าน รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีความศรัทธา เพราะไม่ได้เป็นสำนักที่ตั้งขึ้นถูกต้องตามหลักศาสนา แต่เป็นสำนักที่จัดตั้งขึ้นเอง ดูแลกันเองภายใน มีการทำอาหารกินกันเอง ไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่จะมีคนต่างจังหวัดเข้าออกบ่อย โดยไม่รู้ถึงเจตนาหรือทำกิจกรรมอะไรภายใน อ้างแต่ว่าเป็นสำนักปฏิบัติธรรม โยชาวบ้านตั้งข้อสังเกตมาตลอด เพราะบางทีเหมือนมีความลับ และไม่เปิดเผยความเป็นอยู่ภายใน ทั้งแม่ชี หรือพระ อยู่รวมกัน แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และไม่รู้มาก่อนว่ามีการตั้งกองทุนผ้าป่า ตามที่เป็นข่าว จนกระทั่งเกิดเรื่องชาวบ้านในหมู่บ้านถึงรับรู้ปัญหา ซึ่งหลังมีเจ้าหน้าที่มาดำเนินการรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะสำนักดังกล่าวเป็นพื้นที่คาใจชาวบ้านมานาน สุดท้ายเกิดเรื่องจนได้ ที่สำคัญชาวบ้านไม่เคยศรัทธามาตลอด