“สธ.”ผนึกกำลัง “11 วิชาชีพ” สู้โควิด-19 พร้อมเปิดรับจิตอาสาปิดรอยรั่วภารกิจสาธารณสุข วุ่นแล้ว! “ก.หูกวาง” เจ้าหน้าที่ 70 ราย ติดโควิด กักตัวกลุ่มเสียงกว่า 900 คน ด้าน “โควิดไทย” ตายเพิ่มอีก10 พบติดเชื้อ 1,864 “กทม.”ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุด “ศบค.”เผย “มท.”ขอปชช. 12 จังหวัด งดออกเคหสถานตามเวลา ยันไม่ใช่เคอร์ฟิว
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 29 เม.ย.64 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลง “สมาพันธ์สภาวิชาชีพรวมใจ สู้ภัยโควิด-19”โดย นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและคนไทยทุกคนขอบคุณความทุ่มเทเสียสละของจิตอาสาจากทุกสภาวิชาชีพที่เป็นกลไกร่วมกันกับ สธ. ในการบริหารจัดการโควิด-19ซึ่งขณะนี้ บุคลากรสาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีน เกินกว่าร้อยละ 90 ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนมิ.ย. ซึ่งความช่วยเหลือจากสมาพันธ์ฯ จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อในบุคลากรสาธารณสุขได้และรัฐบาลก็จะจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานอย่างปลอดภัยที่สุด
ด้าน น.ส.ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล ในฐานะประธานสมาพันธ์สภาวิชาชีพ กล่าวว่า สมาพันธ์ ทั้ง 11 สภาวิชาชีพ อาทิ แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร
ขณะที่ รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า สถิติการติดเชื้อโรคโควิด-19 สะสมของบุคคลากรของหน่วยงานภายในสังกัดกระทรวงคมนาคมจำนวน 8 แห่ง ณ วันที่ 28 เม.ย.64 ว่า มีจำนวนบุคลากรที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19รวมทั้งสิ้น 70 คน และมีบุคลากรที่อยู่ระหว่างกักตัวเฝ้าระวังสังเกตอาการ 14 วัน รวมทั้งสิ้น 903 ราย สำหรับ 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ติดเชื้อ 2 คน กักตัว 25 คน 2.กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ติดเชื้อ 14 คน กักตัว 111 คน 3.การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ติดเชื้อ 27 คน กักตัว 81 คน 4.บริษัท ขนส่ง จำกัด (ขบ.) ไม่มีผู้ติดเชื้อ กักตัว 33 คน 5.กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ติดเชื้อ 8 คน กักตัว 142 คน 6.กรมทางหลวง (ทล.) ติดเชื้อ 14 คน กักตัว 453 คน 7.สำนักนโยบายและแผนการขนส่งจราจร(สนข.) ติดเชื้อ1 คน กักตัว 9 คน และ 8.กรมเจ้าท่า (จท.) ติดเชื้อ 4 คน กักตัว 49 คน
ส่วน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 1,871 ราย โดยเป็นการติดเชื้อในประเทศ 1,864 ราย ทั้งหมด (แยกเป็นจากระบบเฝ้าระวังและบริการสุขภาพ 1,830 ราย จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 34 ราย) และเดินทางมาจากต่างประเทศอีก 7 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 63,570 ราย วันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 10 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตขยับไปที่ 188 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 992 ราย รวมยอดรักษาหาย 35,394 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล 27,988 ราย อาการหนัก 786 ราย และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 230 ราย โดยสถานการณ์โลก ไทยอันดับเพิ่มขึ้นที่ 104 แซงประเทศสิงคโปร์ ที่ไปอยู่อันดับ 105 ของโลก
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในช่วงการระบาดเดือนเม.ย.64 กรุงเทพฯและปริมณฑล มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว 15,405 คน ส่วนจังหวัดอื่นๆ 73 จังหวัดรวมกัน มีผู้ติดเชื้อ 19,095 คน จะเห็นได้ว่าสัดส่วนผู้ติดเชื้อของกรุงเทพฯและปริมณฑล สูงมาก ดังนั้นที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กมองว่า หากสามารถจัดการกับการแพร่ระบาดในกรุงเทพฯได้ จะสามารถจำกัดการแพร่ระบาดและทำให้สถานการณ์ของโรคดีขึ้นได้ จึงขอความร่วมมือผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ร่วมมือกันเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และรักษาสุขอนามัยของตัวเอง งดการรวมกลุ่ม เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน เนื่องจากสถิติของกรมควบคุมโรค พบว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีกลุ่มก้อนที่พบการติดเชื้อจากการรับประทานอาหารในร้านอาหารร่วมกัน
นพ.ทวีศิลป์ แถลงต่อว่า ศบค.กระทรวงมหาดไทยทำสรุปจังหวัดที่ขอความร่วมมือประชาชนงดออกจากเคหสถานจำนวน 12 จังหวัด ซึ่งไม่ใช่การเคอร์ฟิวประกอบด้วย 1.จังหวัดบึงกาฬเวลา 23.00 - 04.00 น. 2.จังหวัดชัยนาทเวลา 23.00 - 04.00 น. 3.จังหวัดนนทบุรีเวลา 21.00-04.00 น. 4.จังหวัดนครปฐมเวลา 23.00 - 04.00 น. 5.จังหวัดสมุทรสาครเวลา 23.00 น.- 04.00 น. 6.จังหวัดนครนายกเวลา23.00 - 04.00 น. 7.จังหวัดปทุมธานีเวลา 21.00- 04.00 น. 8.จังหวัดสมุทรปราการเวลา 21.00- 04.00 น. 9.จังหวัดสุราษฎร์ธานีเวลา 22.00- 04.00 น. 10.จังหวัดตรังเวลา 22.00- 03.00 น. 11.จังหวัดยะลาเวลา 22.00- 04.00 น. และ12.จังหวัดสงขลาเวลา 22.00- 04.00 น.
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตอนนี้เรายังเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่จะเข้าจังหวัดใดๆ ขอให้ศึกษาเป็นอย่างดีและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สำนักงานควบคุมดูแลผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพแห่งออสเตรเลีย หรือทีจีเอ จะสอบสวนต่อสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ถึง 2 ราย ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เมื่อเร็วๆ นี้ ภายหลังจากเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ได้ไม่กี่วันว่า สาเหตุการเสียชีวิตจะเกี่ยวข้องกับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ หรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้เสียชีวิตรายแรกเป็นชายวัย 71 ปี มีโรคประจำตัวหลายโรค เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ขนานของแอสตราเซเนกา/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยเสียชีวิตหลังจากรับการฉีดวัคซีนได้ไม่กี่วัน ส่วนผู้เสียชีวิตอีกราย เป็นชายวัย 55 ปี หลังจากเข้ารับการฉีดวัคซีนซึ่งไม่เปิดเผยขนาน ได้เพียง 8 วัน
รายงานข่าวเปิดเผยว่า โครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ของทางการออสเตรเลีย ได้มีคำแนะนำให้ใช้วัคซีนขนานของแอสตราเซเนกา/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แก่ผู้รับการฉีดที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หลังจากมีรายงานในประเทศต่างๆ ว่า วัคซีนขนานนี้เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันแก่ผู้รับการฉีดวัคซีนที่มีช่วงอายุต่ำกว่านั้น
ด้าน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ปราศรัยผ่านทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ จากทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ ว่า ทางการสหรัฐฯ มีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจต่อการดำเนินโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชน ดังนั้น มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ที่ว่าด้วยการให้สวมหน้ากากอนามัย ก็จะได้รับการผ่อนคลายลง
โดย ประธานาธิบดีไบเดน ระบุด้วยว่า ประชาชนชาวสหรัฐฯ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ จนครบจำนวนที่กำหนดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยเวลาออกไปกลางแจ้งในบริเวณที่ไม่มีผู้คนอยู่กันแออัด
พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเผยด้วยว่า การผ่อนคลายมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ถือเป็นเหตุผลที่ดีในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ซึ่งประชาชนควรที่จะตัดสินใจ ณ บัดนี้
อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ หรือซีดีซี ซึ่งเป็นหน่วยงานสูงสุดด้านสาธารณสุขของประเทศ ได้ออกมาย้ำเตือนว่า ถึงแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนครบจำนวนที่กำหนดแล้ว แต่ประชาชนก็ยังจำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย หากเข้าไปในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัดมากๆ เช่น การชมคอนเสิร์ต ชมกีฬารายการใหญ่ รวมทั้งอยู่ภายในอาคาร
สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในสหรัฐฯ เริ่มมีอัตราผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ยังมีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมมากเป็นอันดับ 1 ของโลก จำนวน 32,983,695 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตแม้มีอัตราลดลงในแต่ละวัน แต่จำนวนรวมทั้งสิ้นยังมากเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 588,337 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 25,584,747 ราย
ด้าน นายอูกูร์ ซาฮิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ของบริษัทไบโอเอ็นเทค ประเทศเยอรมนี เปิดเผยถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่ทางบริษัทฯ วิจัยพัฒนาร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ อิงก์ ในสหรัฐฯ โดยระบุว่า มีความเชื่อมั่นว่าสามารถใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์จากประเทศอินเดีย หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า “บี.1.617” ได้ ถึงแม้ว่า การทดสอบประสิทธิภาพกับไวรัสโควิดฯ สายพันธุ์ใหม่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการก็ตาม
โดย นายซาฮิน เปิดเผยว่า วัคซีนขนานของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ได้ถูกนำไปทดสอบประสิทธิภาพกับไวรัสโควิดฯ กว่า 30 สายพันธ์แล้ว ปรากฏว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้เกือบทุกๆ สายพันธุ์ และมีประสิทธิภาพด้านการป้องกันได้มากพอๆ กับสายพันธุ์ดั้งเดิม
รายงานข่าวแจ้งว่า การออกมาเปิดเผยของซีอีโอบริษัทไบโอเอ็นเทคมีขึ้น ภายหลังจากเกิดกระแสความวิตกกังวลจากภาคส่วนต่างๆ ที่มีต่อประสิทธิภาพวัคซีนขนานต่างๆ ว่าจะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิดฯ สายพันธุ์อินเดียได้หรือไม่ โดยองค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) ระบุว่า ไวรัสโควิดฯ สายพันธุ์นี้แพร่ระบาดแล้วในพื้นที่ 19 ประเทศทั่วโลก
ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ปรากฏว่า ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ 219 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนสะสมอยู่ที่ 150,256,528 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 3,164,571 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 127,795,449 ราย