ท่าทีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังถูกมองว่า ย้อนแย้ง กับคำพูด และการแสดงออก ของตนเอง หลังจากที่ โดนโควิดฯระลอก 3 ถล่ม จนเสียหลัก หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งเสียงขู่กลางที่ประชุม ครม. ถึงรัฐมนตรี คนที่ชอบนินทานายกฯ ให้ระวังไว้ จะโดนปรับออก แถมจะโดนริบโควตาคืนด้วย จนทำให้ถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณเตือนไปยัง รัฐมนตรี ของ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทย เพราะ มีกรณีกันอยู่ ทั้งการที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจ กับการแบ่งจังหวัดให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ โดยให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคุม สงขลา นครศรีธรรมรสช และภูเก็ต จากที่เคยคุม พะเยา บ้านเกิด และหนองบัวลำภู เชียงราย อีกทั้ง พรรคพปชร. ได้วางตัวให้ ร.อ.ธรรมนัส คุมส.ส.พรรค ใน 14 จังหวัดภาคใต้ และรับผิดชอบการเลือกตั้งซ่อม ตั้งแต่ ที่นครศรีธรรมราช ที่ทำให้ พปชร.ชนะ พรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่า จะไม่ทบทวน คำสั่ง และเตือนพรรคปชป. ว่าไม่ใช่เวลาเล่นการเมือง แต่เป็นเวลาทำงานให้ประชาชน พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการจะทำให้พรรคไหนได้ประโยชน์ แต่ที่สุด แค่ข้ามวัน วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ก็เผยว่า กำลังทำคำสั่งแบ่งงาน ใหม่ และมี รมต.บางคน ขอสลับจังหวัดใหม่ และเมื่อคำสั่งใหม่ ออกมา ก็จะเป็นการยกเลิกคำสั่ง ที่ทำให้เกิดปัญหานั้นไป จนถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้จะฮึ่มใส่ รมต.บางคน ของพรรคปชป. เสมือนไม่แคร์ แต่ที่สุด ก็ต้องยอมทำคำสั่งใหม่ กล่าวกันว่า เพราะกลัวว่า พรรคปชป. จะถอนตัว จากการร่วมรัฐบาล หรือไม่ ในอีกด้านหนึ่ง ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เตือน รมต. ที่นินทานายกฯนั้น ถูกมองว่า ยังส่งสัญญาณถึง พรรคภูมิใจไทย หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ด้วยหรือไม่ เพราะอนุทิน ที่กำลังถูกล่ารายชื่อ เรียกร้องให้ ลาออก เพื่อรับผิดชอบต่อความล้มเหลว ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด หลังเกิดระลอก 3 และ ยังจัดหาวัคซีน มาให้ประชาชนไม่ทันการ ไม่แค่นั้น ปมประเด็น คลัสเตอร์ สถานบันเทิง ย่านทองหล่อ ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด รอบ 3 ที่ถูกโยงกับ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และ เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แม้ว่า ศักดิ์สยาม จะปฏิเสธว่าไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่น พร้อมฟ้องร้องสื่อเครือเนชั่น และ เต้ มงคลกิตติ์ จนนำมาซึ่งการนำภาพศักดิ์สยาม มาเปิดเผย แม้จะเป็นภาพเก่าก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบ ทั้ง อนุทิน และ พรรคภูมิใจไทยอย่างหนักเรียกได้ว่า สิ่งที่ อนุทิน ได้สร้างผลงาน มาทั้งหมด พังทลายไปหมด และกลับกลายมาเป็น กระแสโจมตี และเสียงเรียกร้องให้ลาออก ที่สำคัญ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีต่อนายอนุทิน ก็เปลี่ยนไป หลังลองโทรศัพท์สายด่วน 1668-1669 แล้วไม่มีคนรับสาย แถมทั้ง รถพยาบาล ก็ไม่เพียงพอ จน พล.อ.ประยุทธ์ ตัองสั่งให้กระทรวงกลาโหม ส่งรถพยาบาลและรถทหาร มาเสริม การรับส่งผู้ป่วย ไปโรงพยาบาล ไม่แค่นั้น มีการมองย้อนกลับไป จะพบความไม่ปกติเกิดขึ้นตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีน แต่ไม่มีชื่อ อนุทิน ท่าทีต่างๆของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออนุทิน และ กระทรวงสาธารณสุข จึงส่งผลให้ ศุภชัย ใจสมุทร รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เหน็บ นายกฯ ที่ถนัดใช้กฎหมายพิเศษ และตำหนิการรวบอำนาจของ ศบค. โดยพรก.ฉุกเฉินจนทำให้ทาง รมว.สาธารณสุข ทำงานไม่ได้เต็มที่ เพราะ นายกฯ เป็น ผอ.ศบค. และ มี เลขาธิการสมช. รับผิดชอบหลัก ทั้งนี้ เพื่อหวังจะชี้ให้เห็นว่าอนุทิน ทำงานแก้ปัญหาโควิดได้ไม่เต็มที่ เพื่อต้านทานกระแส กดดันให้อนุทิน ลาออก แต่ก็ถูกมองว่า สิ่งเหล่านี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจ เพราะในที่ประชุม ครม. ที่ผ่านมา นอกจาก เตือน รมต.ที่นินทานายกฯ แล้ว ยังระบุว่า ติดตามเฟซบุ๊ก ของทุกคน และทุกพรรค อีกทั้ง อนุทิน เอง ก็มีปฏิกิริยา ด้วยการยืนยันว่า “จะอดทนทำงานต่อไปเพราะ ตอนเข้า ผมก็ขอเขามาที่นี่ ถ้าจะไป ผมก็ขอไปด้วยตัวเอง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้ามันไม่ไหว ผมไม่อยู่หรอก” รวมทั้งการย้ำว่า ตนเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ ก็ทำตามที่ นายกฯสั่งการ ที่ถูกมองว่า เป็นการตอบโต้ และโยนเผือกร้อน กลับไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็ให้ ครม. โอนอำนาจ ของ รมต.ต่างๆ ตามพรบ.31 ฉบับ มาให้นายกรัฐมนตรีคนเดียว เพื่อความรวดเร็วในการแก้โควิด เหมือนเป็นการยึดอำนาจ นายอนุทิน และรมต.ที่เกี่ยวข้อง แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็ให้กำลังใจ อนุทิน และ สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข รวมทั้งการให้ทีมโฆษกรัฐบาล แถลงชี้แจงว่า นายกฯไม่ได้ยึดอำนาจรัฐมนตรี เพราะ รมต.ยังมีอำนาจอยู่ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคย ทำมาแล้วสมัยโควิด ระลอกแรก ไม่ใช่การลิดรอนอำนาจรัฐมนตรี แค่ทำให้รวดเร็วขึ้น เพื่อสั่งการ ศบค. ชัดเจน รวดเร็ว จัดการเรื่องวัคซีน การขึ้นทะเบียนอย.ของวัคซีนได้เร็วขึ้น ทั้งนี้เพื่อ เคลียร์ภาพของการเป็นนายกฯเผด็จการ ยึดอำนาจ และใช้แต่กฎหมายพิเศษ แต่ทว่า ก็ต้องรอดู ว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ รวบอำนาจคนเดียวแล้ว ถ้าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็จะถือว่า จะได้ไปต่อ แต่หากตัวเลขผู้ป่วยใหม่ รายวัน ยังคง มากกว่า 2 พันคน หรือตัวเลขไม่นิ่ง ก็เสี่ยง ต่อการถูกรุมกระหน่ำ และสะเทือนเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตอนนั้น เป็น ผบ.ทบ. ยึดอำนาจ ด้วยคำพูดที่ว่า ผมขอรับผิดชอบแต่เพียง ผู้เดียวกันมาแล้ว มาครั้งนี้ กลางศึกโควิด พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจ ยึดอำนาจ และบอกว่า จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว อีกครั้ง ที่ถือว่าเป็นการ เอาเก้าอี้ นายกฯ มาเดิมพัน เลยทีเดียว ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน ที่ออกมาแถลง จี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เพื่อเปิดทางให้ ตั้งรัฐบาลใหม่ และนายกฯคนใหม่ มาแก้ปัญหา แทน แต่ท้ายที่สุด การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีอำนาจการยุบสภา อยู่ในมือ แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ เลือก ยุบสภา กลางสถานการณ์โควิด ที่กำลังหนักหนาการจัดการเลือกตั้ง ย่อมเป็นไปอย่างลำบาก ก็จะยิ่งซ้ำเติมประเทศ ยิ่งขึ้น สถานการณ์โควิด และดวงชะตา ของ พล.อ.ประยุทธ์ ผูกกัน อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่ากันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังดวงแข็งอยู่