การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 วันนี้ ยังเป็นปัญหาที่กัดกร่อนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่เกิดขึ้นรายวัน มีไม่น้อยกว่า 2,000 คน แถมยังมีตัวเลขผู้เสียชีวิตพ่วงตามมาด้วยในแต่ละวัน ส่งผลให้ความหวาดกลัวจากไวรัสโควิด-19 มีเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ทำให้ประชาชนทั้งประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาล ประกาศความชัดเจนในการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้ทั่วถึง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้เกิดขึ้นมากเหมือนทุกวันนี้!
รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน!! เพราะต้องยอมรับว่า กระแสข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ ฟันธง!!! ต้นเหตุมาจาก “รัฐบาล” ที่ทำการ์ดตก!!! แม้ว่ารัฐบาลจะออกมายืนยันว่าไม่ใช่ต้นเหตุก็ตาม ซึ่งงานนี้ “รัฐบาล” จึงตกเป็นจำเลยไปโดยปริยาย!!!
และล่าสุดรัฐบาล โดย “นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ออกมาแสดงความมั่นใจว่า รัฐบาลจะสามารถควบคุมได้ภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากขณะนี้แม้จะมีผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่จำนวนของผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวันเช่นกัน ซึ่งขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลดูแลสถานการณ์ได้ เพราะการระบาดรอบนี้อยู่เหนือความคาดหมาย ทำให้เศรษฐกิจที่กำลังจะเดินหน้าต้องสะดุดลง แต่เชื่อว่าไม่นานหลังจากเราควบคุมการระบาดได้ และเริ่มฉีดวัคซีนแบบปูพรมทั่วประเทศแล้วเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 “น.ส.กุลยา ตันติเตมิท” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ด้านต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ส่วนการดำเนินมาตรการ ใดๆ ในระยะต่อไป จะพิจารณาอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
"รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณสำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟืนฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กว่า 3 แสนล้านบาท โดยในส่วนของมาตรการของกระทรวงการคลังที่จะพิจารณาดำเนินการ จะเป็นการช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ลดภาระของประชาชน กระตุ้นการใช้จ่าย และการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไป"
ด้านมุมมองของ “ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ สามารถขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ถึงแม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้เม็ดเงินจะหายออกไปจากระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจากการประเมินของศูนย์พยากรณ์นั้น คาดว่า สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายภายใน 2 เดือน หรือ ภายในเดือนมิถุนายน กระทบกับ GDP ร้อยละ 1.24 มูลค่าทางเศรษฐกิจหายไปประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่จากแผนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มองว่าจะสามารถเติมเงินลงไปในระบบชดเชยส่วนที่หายไปได้ จึงยังคงประมาณการ GDP ในปีนี้ไว้เช่นเดิม
ขณะที่ภาคเอกชน “นายสุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังการแพร่ระบาดรอบใหม่ และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นั้น ส.อ.ท.เห็นว่าการฉีดวัคซีนให้ได้ทั่วถึง และมากที่สุดให้คนไทย จะเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ และเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนได้อย่างรวดเร็ว โดยเอกชนพร้อมให้การสนับสนุน และร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันแผนการกระจายวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยยังคงเดินหน้าต่อไปได้ต่อเนื่อง ซึ่งสมาชิกหลายบริษัทภายใต้ส.อ.ท. ยืนยันว่าพร้อมให้การช่วยเหลือรัฐบาลอย่างเต็มที่ นอกจากนี้การผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไปอีกด้วย
“ต้องยอมรับว่าการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่นี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนไทยและจะมีผลต่อกำลังซื้อที่จะปรับลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม”
เช่นเดียวกับมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลได้ประกาศออกมานั้น แม้จะเป็นการล็อกดาวน์บางพื้นที่ บางจุด ก็น่าจะช่วยให้การควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหวังว่ารัฐบาลจะควบคุมการแพร่ระบาดให้จบโดยไวที่สุด
สุดท้ายการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นไปได้เหมือนที่รัฐบาลคุยไว้หรือไม่!?!
งานนี้มี “ปากท้องชาวบ้าน” เป็นเดิมพัน!!!