คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ประเทศสหรัฐอเมริกามีนักการเมืองไม่มากนักที่เป็นทั้งมืออาชีพ เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่สังคมมาอย่างยาวนาน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
คนทั่วไปมักจะได้ยินแต่เพียงว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” คือประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุด แต่ก็มีไม่มากเช่นกันที่จะทราบว่า เขาเคยดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกและยังเคยรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ!!!
เราลองหันมาดูชีวประวัติพอสังเขปของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กันสักเล็กน้อยในเรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยคุ้นกัน
เมื่อปี 1972 โจ ไบเดน ได้รับเลือกในตำแหน่งวุฒิสมาชิก เมื่อตอนที่เขามีอายุเพียง 30 ปี ทั้งนี้ตามคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามีอยู่ว่า “ผู้ที่สามารถจะเข้าดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯต้องมีอายุอย่างน้อยสามสิบปีขึ้นไป” และตามรัฐธรรมนูญ ของสหรัฐฯเช่นกันที่มีอยู่ว่า “ในแต่ละรัฐจะต้องมีวุฒิสมาชิกรัฐละ 2 คน ไม่ว่ารัฐนั้นจะมีประชากรมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม และมีวาระครั้งละ 6 ปี”
ครั้งนั้น โจ ไบเดน สามารถเอาชนะ เจ. เคเล็บ บ็อกส์ ขวัญใจประชาชนในรัฐเดลาแวร์ที่มีทั้งชื่อเสียงและเม็ดเงินมากกว่า แถมยังเป็นอดีตผู้ว่าฯ และเคยเป็นสมาชิกผู้แทนฯและขณะนั้นก็กำลังดำรงอยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกอีกด้วย
โดยสามเดือนก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งวุฒิสมาชิกใหม่ วุฒิสมาชิกบ็อกส์กำลังมีคะแนนนำเหนือโจ ไบเดน ผู้เป็นคู่แข่งขันถึง 30% แต่ด้วยความขยันและความอดทนของโจ ไบเดน ในครั้งนั้น ซึ่งเขามอบหน้าที่ให้น้องสาวของเขาเป็นผู้จัดการและยังมีอาสาสมัครหนุ่มสาวเข้าไปช่วยรณรงค์หาเสียงด้วยการเดินเคาะประตูหาฐานเสียงสนับสนุนด้วยความตั้งอกตั้งใจ จึงมีผลทำให้โจ ไบเดน สามารถเอาชนะด้วยคะแนน 3,162 เสียง!!!
อนึ่งหลังจากที่โจ ไบเดน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเพียงไม่กี่สัปดาห์ปรากฏว่าภรรยาและลูกสาวอายุหนึ่งขวบของเขาเสียชีวิตและลูกชายอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อคงเดินหน้าทำงานในแวดวงการเมืองต่อไป โดยเขาต้องอดทนนั่งรถไฟไปกลับระหว่างรัฐเดลาแวร์กับกรุงวอชิงตันเที่ยวละหนึ่งชั่วโมงครึ่งทุกๆวัน เพื่อกลับไปดูแลลูกชายทั้งสองคน นับว่าเขาเป็นคนรักและใส่ใจต่อครอบครัวมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อปี ค.ศ 1977 วุฒิสมาชิกโจ ไบเดน ก็ได้แต่งงานใหม่กับ “จิล ไบเดน”ภรรยาคนปัจจุบัน โดยเธอจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และเข้าไปรับหน้าที่เป็นศาสตราจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ “Northern Virginia Community College”
อนึ่งขณะที่วุฒิสมาชิกโจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งอยู่ในวุฒิสภายาวนานถึง 36 ปี หรือหกสมัย (สมัยละหกปี) เขาก็ได้กลายเป็นนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลสูงอีกคนหนึ่ง โดยได้เข้าไปรับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการตุลาการ และ ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศ โดยมี “วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี” ซึ่งเป็นเสาหลักใหญ่ของเหล่าบรรดาวุฒิสมาชิกคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำกับเขาตลอดมา!!!
ทั้งนี้ครั้งที่วุฒิสมาชิกโจ ไบเดน ดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการตุลาการนั้น เป็นที่ทราบกันทั่วดีว่า “โจ ไบเดน คือผู้มีอิทธิพลที่สามารถจะผลักดันหรือขัดขวางใครก็ตามให้ได้รับหรือให้พลาดจากตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด โดยไม่ทันได้ตั้งตัว”
และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยเช่นกันว่า แม้โจ ไบเดน จะได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกติดต่อกันมาถึงหกสมัยก็ตาม แต่กลับปรากฏว่ายอดทรัพย์สินของเขาขณะนั้นมีไม่เกินห้าแสนเหรียญ และนับเป็นนักการเมืองที่มีฐานะจนที่สุด เพราะเขาตระหนักดีว่าเขาต้องการจะทำงานเพื่อประเทศชาติ โดยมิได้หวังผลประโยชน์ส่วนตัว
เมื่อครั้งที่วุฒิสมาชิกบารัก โอบามา ตัดสินใจลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2007 ครั้งนั้นโจ ไบเดนก็ได้กลายเป็นคู่แข่งขันอีกคนหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่โจ ไบเดนยอมยกธงขาว เจ็ดเดือนต่อมา โอบามาก็ตัดสินใจเลือกจากผู้ที่อยู่ในข่าย 20 คนให้โจ ไบเดน เข้ามาร่วมทีมในตำแหน่งรองประธานาธิบดี สืบเนื่องมาจากโจ ไบเดนเป็นนักการเมืองที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม แถมยังมีประสบการณ์สั่งสมเอาไว้อย่างมากมาย มีความเชี่ยวชาญทางด้านการต่างประเทศ และเหนือสิ่งอื่นใดถือว่าครั้งนั้นเขายอมถ่อมตัวเข้ามาร่วมทีมในตำแหน่งรองประธานาธิบดีให้กับ บารัก โอบามา นักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรง!!!
คราวนี้เราลองย้อนหันกลับมาดูผลงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในช่วง 100 วันในการที่เขาก้าวเข้ามาบริหารประเทศ
จะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เป็นอย่างดีว่า “ข้าพเจ้าจะเป็นประธานาธิบดีของคนอเมริกันทุกๆคน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่แบ่งเชื้อชาติ ไม่แบ่งสีผิว” ดังจะเห็นจากคณะรัฐมนตรีในทีมบริหารของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาวไฟแรงคุณภาพคับแก้วจากหลายเชื้อชาติ แม้กระทั่ง “สมาชิกสภาผู้แทนฯเด็บ เฮาแลนด์” ที่มีเชื้อสายอินเดียนแดงก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยหญิงคนแรกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ในระยะการทำงาน 100 วันของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เขาได้เร่งบริหารจัดการในประเด็นใหญ่หลักๆนั่นก็คือ ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงการเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ
สำหรับการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวร้ายโควิด-19 นั้น ปรากฎว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้สร้างผลงานดีเด่นเกินความคาดหมาย โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายนนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวขอบคุณทุกๆคนที่ช่วยกันแก้ปัญหาโควิดและกล่าวแถลงว่า “ระยะเวลาเพียงแค่ 92 วัน คนอเมริกันได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 200 ล้านโดส” ซึ่งผลงานนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนสมควรจะได้คะแนนในระดับ “A+”สืบเนื่องมาจากแรกเริ่มเดิมทีตอนที่ก้าวขาเข้าสู่ทำเนียบขาวใหม่ๆ เขาได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แค่เพียง 100 ล้านโดส
นอกเหนือจากนั้นสำหนักหยั่งเสียง “Pew Research Center” ซึ่งเป็นสถาบันเป็นกลางได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 เมษายนนี้เปิดเผยว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้รับคะแนนนิยมจากคนอเมริกันถึง 72% ทางด้านบริหารจัดการโรคโควิด-19
ส่วนเรื่องเงินกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือเยียวยา 1.9 ล้านล้านเหรียญ ที่เดินควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 นั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตสูงและจากรายงานขององค์กร อีโอซีดี (Organization for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์การร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีสมาชิกร่วมองค์กรทั้งหมด 37 ประเทศ ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 มีนาคมนี้ว่า นโนบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีส่วนทำให้ยอดจีดีพีสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 6.5% ในปีนี้จาก 3.2% เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย และควรจะให้คะแนนเกรด “A+” แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยเช่นกัน และจากการหยั่งเสียงของสถาบันศูนย์พิวคนอเมริกันให้คะแนนประธานาธิบดีโจ ไบเดน 67%
อนึ่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2021 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่เขาได้รับเชิญจาก “ประธานสภาคองเกรส แนนซี เพโลซี” ให้ไปกล่าวปราศรัย ณ สภาคองเกรสในโอกาสครบ 100 วันการทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั่นเอง
และจะเป็นครั้งแรกที่สองสตรีนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯอันได้แก่ ประธานสภาคองเกรสแนนซี เพโลซี และ รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ทั้งสองสุภาพสตรีจะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ด้วยกัน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะทำการส่งมอบสำเนาของสุนทรพจน์ให้ก่อนการกล่าวสุนทรพจน์
เป็นที่คาดกันว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน (บทความนี้เขียน ณ วันอังคารที่ 27 เมษายน 2021) คงจะกล่าวถึงความสำเร็จของผลงานต่างๆในรอบ 100 วันทั้งด้านนโยบายภายในและด้านการต่างประเทศ
และยังมีสิ่งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะพลาดไม่ได้ ซึ่งเขาก็คงจะประกาศขายนโยบาย 2 ล้านล้านเหรียญเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบครบวงจร การปฏิรูปอิมมิเกรชั่น การปฏิรูปกระบวนยุติธรรมที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงคดีฆาตกรรมสั่นสะเทือนประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สืบเนื่องมาจากจอร์จ ฟลอยด์คนผิวสีที่ถูกอดีตตำรวจผิวขาวชื่อเดเร็ก ซอวินใช้เข่ากดคอนานถึง 9 นาทีกับ 29 วินาทีจนเสียชีวิต โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เห็นด้วยกับการตัดสินของคณะลูกขุนที่ตัดสินออกมาแบบเป็นเอกฉันท์
อีกทั้งคาดว่าประธานาธิบดีคงจะขายไอเดียเกี่ยวกับการที่เหตุใดสหรัฐฯจำต้องเข้าไปมีบทบาทสำคัญด้านการแก้ปัญหาโลกร้อน แนวทางการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม และปัญหาการเกลียดชังชาวเอเชียที่ขณะนี้กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!!!
ส่วนด้านการต่างประเทศคาดว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะออกมาพูดถึง การแทรกแซงของรัสเซียเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2016 และปี 2020 ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนและคงจะกล่าวถึงจุดยืนเกี่ยวกับชาวอาร์เมเนียที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถึง 1.5 ล้านคน โดยน้ำมือของชาวตุรกีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยร้อยปีที่ผ่านมาสหรัฐฯพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง อีกทั้งอาจจะพูดถึงสหรัฐฯยินดีที่จะแบ่งปันวัคซีนกับประเทศต่างๆด้วย นี่คือความปรารถนาดีของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศอื่นๆเสมอมา
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้น “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” หวังและตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่คนอเมริกันเกี่ยวกับนโยบายต่างๆที่เขาเคยได้เสนอเอาไว้และต้องการแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถทำให้เกิดขึ้นได้หากได้รับความร่วมมือและได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องอเมริกันร่วมชาติ เพื่อนำมาซึ่งความมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯเองและสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีกด้วยละครับ