การปฏิวัติในพม่า 1 กุมภาพันธ์ 2564 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนม่าหรือพม่าเป็นประเทศที่น่าศึกษาและทำความเข้าใจ เนื่องจากมีระบบการปกครองที่แตกต่างจากกระแสหลักของโลก มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับไทยไม่น้อย และไทยควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทยยาวที่สุดที่ไทยมีกับประเทศอื่นๆ คือชายแดนไทยกับพม่ายาว 2,401 กิโลเมตรแล้ว ยังมีปฏิสัมพันธ์และการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างมาก และเป็นสมาชิกในครอบครัวอาเซียนด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่าอันเกิดจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ย่อมมีผลกระทบต่อไทยโดยตรงอย่างมาก ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการค้าขายระหว่างกันหยุดชะงักลง และชาวพม่าที่หนีภัยจากการปฏิบัติการที่รุนแรงของฝ่ายทหารที่ยึดอำนาจมายังชายแดนไทยจำนวนมาก อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอนาคตของอาเซียนด้วย ประชาคมโลกมีความกังวลต่อสถานการณ์ในพม่า เรียกร้องให้ฝ่ายทหารยุติการใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน และให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างสันติ บทความนี้เป็นการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประเทศพม่า จากทัศนะของผู้ที่เคยทำงานในพม่าเป็นเวลา 4 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2538 - 2541 โดยย่อ ในการทำความเข้าใจปัญหาในพม่า จะมุ่งไปที่ยุคอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือพม่า เพราะเป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่มีผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่อปัญหาการเมืองพม่าในปัจจุบัน อังกฤษยึดครองพม่าโดยผ่านการทำสงครามสามครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2367 - 2369 (ค.ศ. 1824 - 1826) เกิดจากการพม่าต้องขยายอาณาเขตเข้าไปในรัฐอัสสัม ใกล้กับจิตตะกองซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษ ผลเมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วคือ พม่าต้องยกอัสสัม มณีปุระ รัฐระไข่ ตะนาวศรี และชายฝั่งทางตอนใต้ของแม่น้ำสาลวินให้แก่อังกฤษ ครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1852) ด้วยสาเหตุที่อังกฤษต้องการไม้สักในบริเวณที่เรียกว่าพม่าตอนล่าง Lower Burma และ ครั้งที่สามเมื่อ พ.ศ.2428 (ค.ศ. 1885) ด้วยสาเหตุที่อังกฤษต้องการเมืองท่าต่างๆ เมื่ออังกฤษครองพม่าอย่างสิ้นเชิง ได้จัดให้พม่าเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดียในปี พ.ศ.2429 (ค.ศ. 1886) จนถึงปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) อังกฤษแยกมณฑลพม่าออกจากบริติชอินเดีย และให้พม่าเป็นหน่วยการปกครองที่มีสภาเป็นของตัวเอง จนกระทั่งพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ตั้งประเทศสหภาพพม่า รวมเวลาที่อังกฤษปกครองพม่า 124 ปี ระหว่างพ.ศ. 2367-2491 ก่อนที่พม่าตกเป็นอาณานิคม สภาพการณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติพม่ากับชนชาติกลุ่มใหญ่อื่นๆ ที่สำคัญ คือ ชาน (Shan) หรือไทยใหญ่ คะฉิ่น (Kachin) ชิน (Chin) และกะเหรี่ยง( Karen) เป็นไปในลักษณะที่พึ่งพากันตามสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา มีความเป็นอยู่ร่วมกันของวัฒนธรรมหลากหลาย ไม่ถือว่าเป็นความแตกต่าง โดยยังไม่มีความสำนึกชาตินิยมของชนชาติหรือชนเผ่าของตน แต่เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคม ลักษณะความสัมพันธ์และความเป็นอยู่แบบเดิมถูกทำลายลง โดยอังกฤษยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และระบบราชการ สร้างแนวคิดใหม่เกี่ยวสถานะของรัฐที่ต้องมีบูรณภาพแห่งดินแดน ดังนั้น หลังจากที่ได้รับเอกราช พม่ากลายเป็นรัฐชาติที่มีหลายกลุ่มชนชาติเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอกลักษณ์ของชาติ ชนชาติเผ่าต่างๆ จึงมีความสำนึกเชิงชนชาติ การแยกตัวเป็นแต่ละชนชาติมีความชัดเจนขึ้น ในช่วงแรกของสหภาพพม่าในฐานะรัฐเอกราช พม่ามีปัญหาทางการเมืองภายใน เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่างๆ ได้แก่ ฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ ชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ ชนชาติกะเหรี่ยง และกองทัพก๊กมินตั๋ง กองทัพพม่าเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น เนื่องจากว่าปัญหาการเมืองเกือบทุกปัญหาเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องความเป็นอิสระของชนชาติต่างๆ ในที่สุดกองทัพพม่ายึดอำนาจในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปกครองประเทศโดยระบอบทหารเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐบาลแต่เปลือกนอกหรือใช้ชื่อต่างๆ เช่น Revolutionary Council หรือ สภาปฏิวัติในช่วงปี พศ. 2505- 2517 State Law and Order Restoration Council - SLORC หรือสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐในปี พ.ศ. 2531 ด้วยการปฏิวัติเพราะไม่ยอมรับที่พรรค NLD ของนางออง ซาน ซูจี ชนะผลการเลือกตั้ง State Peace and Development Council - SPDC หรือสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ ในปี พ.ศ. 2540 ปี พ.ศ. 2554 มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายทหารจัดทำขึ้น โดยพรรค Union Solidarity and Development Party - USDP ของฝ่ายทหารชนะการเลือกตั้ง จึงมีการตั้งรัฐบาลทหารที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรก พร้อมกับยุบ SPDC ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 รัฐบาลทหารพม่าไม่ว่าอยู่ภายใต้ชื่ออะไรก็ตาม มีภารกิจหลักสำคัญ คือ การแก้ปัญหาความเป็นเอกภาพของชาติ ระหว่างชนชาติพม่ากับชนชาติต่างๆ ได้แก่ กลุ่มชาน หรือไทยใหญ่ กลุ่มกะเหรี่ยง กลุ่มคะฉิ่น กลุ่มชิน รวมทั้งกลุ่มระไข่ ซึ่งเป็นปัญหาตกค้างกันมานานตั้งแต่โบราณกาล และกลุ่มมอญ กลุ่มคะย้า และกลุ่มชนชาติอีกมากมาย ที่ต้องการรักษาเอกลักษณ์และคงความเป็นอิสระของตน ภายหลังจากที่อังกฤษสิ้นสุดการปกครองพม่า ทำให้เห็นภาพการแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษชัดเจน แม้อังกฤษได้พยายามให้ชนชาติต่างๆอยู่ภายใต้อธิปไตยเดียวกันของรัฐเอกราชของพม่า แต่ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างพม่ากับชนชาติกลุ่มต่างๆ ยังคงอยู่และยิ่งเป็นปัญหาหนักขึ้นตลอดช่วงเวลาที่รัฐบาลทหารปกครองประเทศ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ชนชาติพม่าต้องการครอบครองความเป็นเจ้าในพม่าแต่เพียงฝ่ายเดียวเหนือชนชาติอื่นๆ นับตั้งแต่ชนชาติพม่ายกเลิกข้อตกลงปางหลวง พ.ศ. 2490 การสู้รบกันระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังของชนชาติต่างๆ ยังคงมีอยู่เสมอ แม้ว่าได้มีความพยายามจากรัฐบาลทหารพม่าที่ชักจูงชนชาติกลุ่มต่างๆ เข้าร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศ ความตกลงที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องการหยุดยิงชั่วคราวเท่านั้น การสู้รบยังเกิดขึ้นอยู่เสมอระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังชนชาติอื่นๆ ในวาระที่ต่างกัน และหลายครั้งที่สถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้นตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า และชายแดนพม่ากับจีนและอินเดีย สำหรับประเทศไทยต้องรับภาระในการดูแลผู้หนีภัยทุกครั้งที่มีการสู้รบ รวมทั้งยังทำให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างทหารไทยกับทหารพม่า และการปิดชายแดนทำให้การค้าหยุดชะงักเป็นครั้งคราว การปกครองภายใต้ระบอบทหาร 49 ปี พม่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การสาธารณสุข และอื่นๆ เป็นผลจากการดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวตัวเอง รัฐบาลทหารมุ่งจัดการปัญหาความมั่นคงเกี่ยวกับชนชาติกลุ่มน้อยเป็นสำคัญ ในทางการเมืองไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการบริหารราชการไม่ให้ชนชาติอื่นเข้าไปอยู่ในระบบราชการ กีดกันพลเรือน แต่กลับส่งเสริมทหารให้มีความเจริญก้าวหน้า ไม่ต้องการพึ่งพาต่างประเทศ ทำให้พม่าเป็นสังคมปิด ดังนั้นเมื่อนางออง ซาน ซูจี และพรรค NLD ได้เข้าไปบริหารประเทศสมัยแรกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ถึง 2563 ฝ่ายกองทัพพม่าถูกลดบทบาทลง ในขณะที่ปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบกับชนชาติกลุ่มต่างๆ ยังไม่ยุติ การมีรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศในห้วงเวลาสั้นๆ ดังกล่าวข้างต้น ทำให้กองทัพไม่สามารถจัดการกับปัญหากับชนชาติกลุ่มต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ กองทัพพม่าจึงยอมรับไม่ได้เมื่อนางออง ซาน ซูจีและพรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2563 และนำไปสู่การปฏิวัติ 1 กุมภาพันธ์ 2564 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของพม่าอันเกิดจากการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้สภาวะแวดล้อมทั้งในประเทศและนอกประเทศ ที่แตกต่างจากในอดีต คือ สถานการณ์ปัจจุบันพม่าได้เปิดประเทศมาอย่างน้อย 10 ปี มีปัจจัยจากภายนอกเข้าไปมีบทบาททางเศรษฐกิจในประเทศพม่า ในขณะเดียวกันในด้านต่างประเทศพม่าได้เข้าไปเกี่ยวพันมีปฏิสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับอนุภูมิภาค นอกจากนั้น การที่วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสมัยใหม่มีอิทธิพลเข้าไปในประเทศพม่าอย่างมาก ประชาชนชาวพม่าในทุกมุมเมืองมีโอกาสและช่องทางติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก รวมทั้งได้รับอิทธิพลทางความคิด ทางด้านการทำธุรกิจ ทางด้านการเมืองและวัฒนธรรมจากทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของพม่าไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นำฝ่ายทหารครั้งนี้ เพราะองค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ มีจำนวนมากขึ้น มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ผู้เล่นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางการเมืองและเศรษฐกิจในพม่าได้เปลี่ยนไปมาก คือ จำนวนผู้เล่นมีมากขึ้น ต่างกับในอดีตที่มีผู้เล่นเพียงฝ่ายทหาร ชนชาติกลุ่มต่างๆ กลุ่มการเมืองฝ่ายค้านและประชาชนที่ไม่มีปากมีเสียง แต่ในปัจจุบันนี้นอกจากฝ่ายทหาร ชนชาติกลุ่มต่างๆ และกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านที่มีอำนาจต่อรองมากขึ้นกว่าในอดีตแล้ว ยังมีประชาชนและประชาสังคมที่มีอำนาจและกำลังทางเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งประชาคมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสมาชิกอาเซียนที่ผู้นำพม่าจะต้องรับฟังมากขึ้น อันมีนัยสำคัญว่า ผู้นำพม่ามีแนวโน้มที่จะยอมรับการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา การที่ผู้นำฝ่ายทหารของพม่าตอบรับการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในวันที่ 24 เมษายน 2564 ที่กรุงจาการ์ตาที่เพิ่งสิ้นสุดลง และผลการประชุมที่แสดงออกมาให้ชาวโลกเห็นว่าผู้นำฝ่ายทหารของพม่ารับฟังข้อเรียกร้องและข้อเสนอของอาเซียน แต่ยังต้องมีการพิสูจน์ว่าจะมีการปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกันไว้ในที่ประชุมฯคราวนี้หรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงต้องการลดแรงกดดันจากอาเซียนและประชาคมโลกชั่วคราว ไทยในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์กับพม่ายาวนาน มีการพึ่งพาอาศัยทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างมาก ย่อมต้องการเห็นพม่าและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเมืองที่มั่นคง ก้าวหน้า และไม่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาของไทย การที่ผู้นำทหารพม่าได้แสดงท่าทีที่รับฟังและร่วมมือกับอาเซียนในเบื้องต้นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่ควรให้กำลังใจ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในพม่ายุติการใช้กำลังและความรุนแรงทำลายชีวิตและทรัพย์สินในการแสดงออกต่างๆ อย่างน้อยเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ทุกฝ่ายตั้งใจที่จะให้มีการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ขอบคุณ อาจารย์สมปอง สงวนบรรพ์ คณบดีสถาบันการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้อำนวยการสถาบันโลกคดีศึกษา วิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย