ผศ.ดร.ธนวรรน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวตามกรอบเดิมที่วางไว้ 2.5-3.0% โดยได้พิจารณาครอบคลุมถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 แล้ว
ทั้งนี้จากการคาดการณ์หากรัฐบาลสามารถควบคุมความเสียหายจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ซึ่งประเมินตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.2564 วันที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุด 2,800 คน บวกไปอีก 14 วันถึงวันที่ 9 พ.ค. 2564 หรือภายใน 2 สัปดาห์ ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ไม่เกิน 2,000 คน ก็จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยหดลง 30-40% หรือ ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายใน 2 สัปดาห์ ความเสียหายโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 แสนล้านบาท หรือเพิ่มมาอีก 1 แสนล้านบาท ซึ่งนั่นจะส่งผลกระทบต่อจีพีดี
นอกจากนี้ไม่สนับหนุนล็อกดาวน์ ซึ่งการคุมโควิดเข้มข้นแบบที่ประกาศปัจจุบัน อาจจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงบ้าง แต่ยังเดินหน้าไปได้ระดับหนึ่ง โดยปกติคนไทยใช้จ่ายต่อวันที่ 20,000 ล้านบาท ตอนนี้ที่ไม่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์จะเสียหาย 6,000 ล้านบาท แต่ถ้าใช้มาตรการล็อกดาวน์จะเสียหายวันละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งการใช้มาตรการกึ่งลอกดาวน์ บวกกับยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาช่วยประคองสถานการณ์ ซึ่งเราคิดว่าตัวเลขส่งออกจะขยายตัว 5-8% โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 อาจจะขยายตัว 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 12%”
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องดำเนินการ 3 ด้าน คือ หยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ให้เร็ว เร่งการจัดหาและกระจายวัคซีน เพื่อเสริมความเชื่อมั่น และเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่รัฐบาลเตรียมเงินไว้ประมาณ 3.8 แสนล้านบาท
ส่วนที่รัฐบาลควรกู้เงินเพิ่มอีกหรือไม่ นั้น ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า จากข้อมูลขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องกู้ เพราะยังมีเงิน 3.8 แสนล้านบาท ยกเว้นแต่รัฐบาลต้องการใช้เงินเพื่อเป็นหลักประกัน หรือเยียวยาก็สามารถกู้เงินเพิ่มได้ ซึ่งนั่นจะทำให้ระดับเพดานหนี้ของไทยขยับขึ้นตาม เช่น หากกู้อีก 1.5 ล้านล้านบาท เพดานหนี้จะขยับจาก 60% เป็น 70% หากกู้ 1 ล้านล้านบาท เพดานหนี้จะขยับ ขึ้นจาก 60% เป็น 67% แต่ก็จะมีส่วนช่วยให้จีดีพีขยับเพิ่มขึ้น