ล้วงหัวใจความรักของ ซานิ ที่ไม่จำกัดคำว่าเพศรักแค่ไหนก็ต้องเลิก แฟนขอแต่งงาน ซานิ สวนกลับเราเลิกกันเถอะ พร้อมเปิดความลี้ลับที่มาในรูปแบบของเจ้ากรรมนายเวร นับว่าเป็นอีกคนบันเทิงที่คอยแต่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับแฟนๆอย่างสม่ำเสมอ สำหรับ ซานิ นิภาภรณ์ ฐิติธนการ หรือ ซานิ AF6 ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 แต่ในชีวิตจริงของเธอนั้นไม่ได้สร้างมาด้วยรอยยิ้มเลย ทั้งเรื่องความรัก และ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงก็เกือบพรากเอาชีวิตของเธอไป พร้อมทั้งสิ่งหนึ่งที่ ซานิ ได้เปิดใจว่าแบบหมดเปลือกนั่นก็คือ ความรักที่ไม่มีคำนิยายว่าเพศ แฟนขอแต่งงาน ซานิ สวนกลับเราเลิกกันเถอะและเปิดความลี้ลับที่มาในรูปแบบของเจ้ากรรมนายเวร ย้อนกลับไปก่อนที่จะมาประกวด AF ชีวิตของ ซานิ เป็นอย่างไรบ้าง ซานิ : ตอนนั้นหนูเรียนด้วยทำงานด้วยเป็นวีเจของเคเบิลรายการหนึ่งด้วยค่ะ แล้วก็เล่นผับด้วยตอนกลางคืน 5 ร้านต่อคืนค่ะ จบที่ประมาณตีสาม ตีสี่ หนูร้องทุกวัน 7 วันเลยค่ะ แล้วตอนเช้าจะเริ่มทำวีเจของเคเบิลประมาณ 7 โมงเช้าค่ะ เราก็จะนอนน้อยค่ะ เพราะเราต้องตื่นตีห้า หรือเลตที่สุดเลย 6 โมงเช้าหนูก็จะออกจากบ้านแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้น ซานิ : เพราะความจนค่ะ และเพราะเราต้องการแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่เพราะหนูรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเท่าคนอื่น แล้วมันเหมือนเป็นโอกาสแล้วหนูรู้สึกว่าเมื่อได้โอกาสในการทำงานมาหนูจะทำให้เต็มที่ ตอนนั้นที่ทำงานหนูได้เงินต่อเดือนรวมทริปนะคะ 70,000 บาท ตอนนั้นที่ได้ก็ประมาณ 11-12 ปีที่แล้ว แล้วเข้ามาตรง AF ยังไง ซานิ : เพราะว่าเพื่อนท้าค่ะ เพราะเขาเห็นว่าวงอื่นที่ร้องเพลงเหมือนเราเขาไปลงสมัครหมดแล้ว เพื่อนก็ถามเราว่าเรากลัวอะไร เราก็บอกว่าไม่กลัว เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าเงินเดือนเราโอเคแล้วเราจะไปทำไม สุดท้ายแล้วเราก็ไปแล้วก็เข้ามารอบออดิชั่น แล้วก็ได้เข้ารอบมาเรื่อยๆ แล้วต้องบอกเลยว่าหนูไม่คิดเลยว่าหนูจะชนะ ซึ่งก่อนจะเข้าบ้านเรานั่งทานข้าวกับแม่เราน้ำตาไหลเลย แล้วแม่ก็พูดคำแรกเลยว่า..ทำไงดีแม่ไม่มีเงินโหวต หนูบอกแม่เลยว่าไม่เป็นไรเลยไม่ต้องซีเรียสเลยเพราะเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว หนูได้เข้ามาตรงนี้ ได้เข้ามาเรียนอาทิตย์หนึ่งหนูก็ดีใจแล้วเพราะยังไงถ้าหนูออกมาก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมเพราะเพื่อนยังรอ แม่ก็โอเค !! แต่พอเราเข้าไปเราก็ภูมิใจนะคะ ภูมิใจที่เราทำได้ ดู ซานิ เป็นผู้หญิงที่ห้าวก้าวแกร่ง แต่ก็มีเหมือนกันที่ ซานิ อ่อนแอถึงขั้นแตะเส้นอยากตาย ซานิ : เป็นช่วงหลังจาก AF เลยค่ะ เพราะต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เราเข้าแข่งขันอยู่ในบ้านคือเราไม่รู้เรื่องของโซเชียลเลยเราจะไม่รู้เลยว่าคนคิดกับเราอย่างไร แต่ ณ วันที่เราได้รางวัลแล้วเราออกมาปุ๊บ แล้วเราก็เปิดดูเว๊ป เด็กดี , พันธ์ทิพย์ เพราะในยุคนั้นยังแรงอยู่เราก็ไปเปิดอ่านแต่ทุกคนก็บอกเราว่าอย่าเปิดอ่านนะ แต่ยิ่งบอกว่าอย่าเรายิ่งทำหนูก็ไปเปิดดูคำพูดแต่ละคำคือแบบ bully หน้าตา bullyเสียง bullyการอยู่ในบ้าน แล้วเราเล่นกับผู้ชายเยอะๆมันไม่ใช่ทอมจริงแล้วคือคำที่เขาใช้เป็นคำหนักค่ะ เพราะว่าเป็นคำจากโซเชียลแล้วพอหนูอ่านปุ๊บ คือ ใจหนูตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยเพราะว่าเป็นคำที่เราไม่คิดว่าเราจะได้เห็น พอเราได้เห็นเราตกใจมากแล้วเราคิดว่าทำไมไม่มีใครเล่าให้เราฟังเลย เราคิดเลยตอนนั้นคือ ไม่อยากอยู่แล้ว เพราะคำบางคำมันแรงมาก สำหรับเมื่อก่อนคำบางคำคือไม่ได้ตลกสำหรับหนูเลยนะ เป็นคำที่แบบทำไมต้องมา bully เราอะไรขนาดนี้ ซึ่งทั้งๆที่หนูคิดว่าหนูเป็นคนที่มีสติมากๆกับทุกเรื่องนะคะ แต่พอมาเจอคำแบบนั้นหนูสติหายไปหมดเลยเพราะว่า...เราดันไม่มีสติในการเข้าไปดูในตอนนั้น คือ ถ้าหนูตั้งสติก่อนแล้วหนูรู้ว่าหนูต้องเจอกับอะไร เพราะมีแต่คนบอกว่าไม่ต้องไปดูว่าเขาพูดอะไร แต่เขาไม่ได้บอกเราว่าอย่าไปดูเพราะว่าคำที่เขาพูดถึงเรามันร้ายมากเลย มันแรงมากเลยเขาไม่ได้พูดนะ หนูก็เลยเข้าไปดูโดยที่หนูไม่ได้คิดอะไร เราก็ได้ภูมิใจหรอกค่ะที่เราถูกด่า ตอนนั้นพอเห็นคือโทรบอกทีมงานเลยพี่ๆหนูจะเอารางวัลไปคืนหนูไม่เอาแล้วถ้าหนูไม่เหมาะสมเอาคืนไปเลย ตอนนั้นเราพูดไปก็ร้องไห้ไป (ซึ่งหนูถึงได้บอกว่าตอนนั้นหนูสติไม่มีเลยเพราะเราไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เราได้มาจากคนทั้งประเทศไหม คำพูดอะไรที่เราควรจะเก็บหรือคำพูดอะไรที่เราควรจะปล่อย) แต่วันนั้นคือ หนูคิดได้แค่ว่าหนูจะไม่อยู่แล้วเพราะเราไม่มีสติ ตอนนั้นเราก็เกือบลงมือก็ใช้สายไฟเลย ตอนนั้นเพราะว่าแม่อยู่อีกชั้นหนึ่งแล้วของที่แฟนคลับให้เยอะมากค่ะ เราก็จำเป็นต้องเช่าอีกห้องหนึ่งแล้วเก็บของด้วยก็เลยกลายเป็นว่าเราต้องอยู่แยกกับ คุณพ่อคุณแม่ คนละชั้น หนูทำพ่อแม่เลยไม่รู้ แต่ ณ ตอนที่มันจะขาดแล้วจะหมดแล้ว ตอนนั้นทำไปไกลมาก คือ พอจังหวะที่มันจะหมดจริงๆมันเหมือนหน้าพ่อหน้าแม่เข้ามา เหมือนแบบเสียงทุกคนแฟนคลับคือเข้ามาหมดเลยตอนนั้นเหมือนคนจะหมดลมแล้ว แล้วหนูเฮือกขึ้นมาอย่างนี้ แล้วหนูก็บอกตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำอะไรพ่อแม่ให้ชีวิตมาเลี้ยงมายากมากเลยนะเขาต้องอดมื้อกินมื้อให้เราได้กินอิ่มแล้วเรากำลังทำอะไรกับคำพูดอะไรของใครไม่รู้ด้วย พอเราได้สติเราก็กลับไปนอนคิดน้ำตาไหล จนได้ไปคว้าเอาหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี (แล้วตอนนั้นคือทีแฟนคลับท่านหนึ่งในหนังสือของท่าน ว.วัชรเมธี มาแต่เปิดไม่ได้ตั้งใจจะอ่านทุกหน้าหรอกค่ะ ก็เปิดหน้าแรกกับหน้าหลัง ก็หน้าหลังคือ บอกว่าให้เราขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามาแม้กระทั่งคำติฉินนินทานะเพราะมันทำให้เรารู้ตัวว่าเราอยู่จุดไหน พอหนูอ่านเสร็จแล้วหนูก็ลุกขึ้นมา ใช่สิ !! คนเราจะอยู่กับคำชมตลอดเวลาเหรอ จะอยู่กับความสุขตลอดเวลาเหรอนั่นคือ มนุษย์เหรอ หลังจากวันนั้นหนูเริ่มพัฒนาตัวเองเลยค่ะ ทุกอย่างแม้กระทั่งหน้าตาเพราะเป็นเรื่องที่ถูก bully จนหนึ่งได้เจอท่าน ว. วัชรเมธี ได้อ่านหนังสือท่านเป็นหนังสือที่ทำให้มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ คุณแม่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยค่ะ ในเรื่องของความรักบ้าง เพราะสำหรับเรื่องนี้ไม่ค่อยเห็น ซานิ พูดถึงหรือให้สัมภาษณ์เท่าไหร่ ซานิ : คือหนูทำงานกับผู้ใหญ่เยอะมากเลยค่ะ แล้วแต่ละคนก็มีการสอนมาตลอดเลยว่า บางอย่างเรื่องส่วนตัวของเราพอเราพูดออกไปเราไม่สามารถเอาคืนได้ เพราะมันพูดไปแล้วมันเอาคืนไม่ได้แล้วทุกครั้งที่มันเอาคืนไม่ได้ต้องจำไว้เสมอนะ ไม่ว่าเราจะมีข่าวหรือมีอะไรก็แล้วแต่คนที่เสียมักจะเป็นฝ่ายผู้หญิงตลอดเลย แม้กระทั่งเราได้เขาแต่ก็กลายเป็นว่าเขาได้เราซึ่งไม่มีคนรู้ว่าเราได้เขาอะไรอย่างนี้ ในเมื่อเราเป็นผู้หญิงเราก็ยังต้องถือขนบธรรมเนียมแบบเดิมๆก็เลยกลายเป็นว่าหนูไม่ชอบพูดเรื่องความรักเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยปิดว่าเราชอบเพศไหน ชอบแบบไหนหรือคนจะจำกัดหรือนิยามเราให้อยู่ในเพศไหน ถาม เอาง่ายๆก่อนที่คนชอบถาม ตกลง ซานิ เป็นคนที่รักเพศไหน ซานิ : ตอบยากเลยค่ะ เป็นคำถามแรกหลังจากที่หนูจบ AF มาเลยนะคะ ไม่ได้ถามว่าหนูได้แชมป์แล้วหนูรู้สึกดีใจไหม แต่เขาถามหนูว่าเพศไหนคำแรกเลยแล้วหนูตอบว่าได้หมด ณ วันที่หนูตอบหนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงในชีวิตหนูเพราะหนูคบมาหมดจริง !! เพราะหนูเคยมีแฟนเป็นทั้ง ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ คือเราเจอมาหมด ซึ่งแฟนที่เป็น เกย์ ถามว่าเรารู้ไหมว่าเขาเป็นรู้ค่ะแต่เราก็คบคือเขาเลือกที่เขาจะคบเราเพราะเขาสบายใจ แต่วันหนึ่งที่เขาไปเจอทางที่เขาแฮปปี้กว่าเขาก็ไปแล้วเราก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ซึ่งการที่เลิกกับแฟนหนูทุกคนไม่เคยมีอาการอกหักนะคะ ตั้งแต่เกิดมาเพราะว่าเวลาที่หนูรู้ตัวว่าจะอกหักหนูก็หนีก่อนเลย เพราะว่าหนูไม่เคยจมอยู่ในสภาวะของการอกหักเลย เพราะแม่เคยถามหนูว่าลูกเคยร้องไห้ไหม เพราะไม่เคยเห็นลูกร้องไห้เลย ถาม เอาจริงๆเลยนะ แต่ไม่ใช่เพราะไม่เคยรักใครจริงๆใช่ไหม ซานิ : หนูรักทุกคนหมดและทุ่มเทและคิดว่าจะเป็นรักครั้งสุดท้ายในชีวิตตลอดหมดทุกคน เพียงแต่การที่ไม่อกหักคืออะไร เพราะหนูรู้และใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน หนูรู้ว่าเขากำลังเปลี่ยนไป รู้ว่าเรากำลังไม่เหมือนเดิม หนูรู้ว่าฝั่งเราหรือเปล่าที่เปลี่ยนไป เมื่อหนูรู้อย่างนั้นแล้วหนูก็จะไม่ทิ้งเวลาให้มากไปกว่านี้ คือ รู้ตัวเร็ว ก็จบเร็ว และหนูก็จะถามเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลาเพราะหนูรู้สึกว่าในชีวิตของหนูที่ผ่านมา หนูไม่สามารถเสียเวลากับเรื่องอะไรได้นอกจากการทำมาหาเลี้ยงชีพให้พ่อกับแม่และครอบครัวให้สบายที่สุด เพราะหนูใช้ชีวิตอยู่กับสติตลอดเวลา สวดมนต์ทุกวัน คือ คนเรามีมีเซนส์บางอย่างค่ะ แฟนเราเปลี่ยนไปนะหรือมีปัญหากัน แต่ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเองที่ไม่หยุด และก็ไม่เคยมีความรักครั้งไหนเลยที่ยื้อไม่อยากให้เขาไป คือ ขนาดรักที่คบกันมา 6 ปีเราก็ปล่อยเขาไปง่ายๆทั้งๆที่เราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ถ้าถามว่าใจข้างในเสียใจไหมมีอยู่แล้วค่ะ คำว่าเสียใจมีอยู่แล้ว แต่หนูจะจัดการความเสียใจนั้นยังไง ด้วยวิธีไหน ไม่ได้เป็นวิธีที่เกลียดเขานะคะ แต่เป็นวิธีการเอาเหตุผลทั้งหมดมารวมถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันต่อไปเราก็อาจจะต้องเกลียดกันก็ได้และหนูก็ยังเป็นเพื่อนได้กับแฟนเก่าของหนูทุกคน ขอย้อนกลับไปถามถึงความรักจริงจังครั้งแรกของ ซานิ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซานิ : ถ้าจริงจังเลยก็คือเป็นคนที่คบ 6 ปีค่ะ อายุห่างจากหนู 11 ปีค่ะ เป็นผู้ชายค่ะคนนี้ ตอนนั้นหนูอยู่ประมาณม.2 ได้มั้งคะ คนนี้คบยาวมากจนปี 1 ค่ะ ถึงจะเลิกกัน รู้สึกดีกับเขาเพราะว่าเขามาในรูปแบบของพี่ค่ะ เพราะหนูเป็นเด็กที่หุ่นโต กว่าวัยมากแล้วไปเจอเขาที่สระว่ายน้ำ คือ เขาเป็นคนที่มีรอยสักเต็มเลย แล้วสูง 190 กว่าเราก็มองว่าพี่คนนี้เท่จังเลย แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเขานะคะ เพราะว่าหนูไม่คุยกับคนแปลกหน้าเราก็ไปว่ายน้ำปกติแต่เขามาเริ่มต้นคุยกับหนูเราก็เริ่มต้นคุยกัน ซึ่งมันไม่มีการขอเป็นแฟนเลยนะคะ แต่เหมือนอยู่กันไปคุยกันไปแล้วได้เจอกันทุกวันได้มาออกกำลังกายด้วย แล้วคุยกันถูกคอเลยคบกันค่ะ ที่บ้านเราก็รับรู้ค่ะ ว่าคบกัน คือ ณ ตอนนั้นหนูไม่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องความรักให้แม่ฟังเลยแต่จะมีคนอื่นๆที่เขามาเล่าว่าลูกสาวแบบเดินกับผู้ชายหุ่นนายแบบเลยนะ แม่ก็จะมาถามว่าเราเดินกับใครอะไรอย่างนี้ ก็เป็นโอกาสที่เราจะบอกว่าเขาเป็นคนนี้นะ ซึ่งเขาก็มีโอกาสได้เจอคุณแม่บ่อยแม่ก็โอเค ถามว่าคิดถึงขั้นจะแต่งงานไหม หนูต้องบอกว่าหนูไม่คิดแต่เขาคิด ซึ่ง 6 ปีมันดีมาตลอดเลยค่ะ แต่มันเกิดจากว่าหนูเข้าปี 1 มศว. แล้วหนูจะต้องย้ายไปเรียนและอยู่หอที่ องครักษ์ เป็นช่วงที่เราได้เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่แล้วหนูคิดว่าหนูจบไปจะทำงานอะไรดีนะ พี่เขาจะคุยเรื่องแต่งงานมาตลอดว่าจะต้องแต่งอายุเท่าไหร่ มีลูกตอนอายุเท่าไหร่ หนูก็ฟังมาตลอดโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ จนปีหนึ่งก่อนจะเข้าปีหนึ่งเขาก็พูดเยอะขึ้น หนูก็เริ่มเอากลับมาคิดว่าพ่อแม่เรายังลำบากอยู่เลยเราจะเอาอย่างไรดี ซึ่งที่เราคิดเราก็ยังไม่ได้บอกเขานะคะ เพราะความที่เขาโตมากเราฟังก็เฉยๆแล้วก็เงียบ แต่วันนั้นหนูเข้าไปอยู่ที่หอแล้วเขาโทรมาคุยเล่นกันอยู่สักพักว่าพ่อกับแม่พี่ก็พูดแล้วเรื่องแต่งงานว่าจะมีอะไรอย่างไร แล้วเขาก็พูดว่าถ้าจบแล้วเราแต่งงานกันนะ หนูก็สวนคำหนึ่งไปว่าเราเลิกกันนะ เป็นคำที่หนูยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ หนูไม่ได้เสียใจเพราะขอเขาเลิกนะคะ แต่เสียใจเพราะว่าเขาตั้งใจที่จะพูดอะไรดีๆกับเราในวันนั้น แล้วเราไปทำร้ายเขาในวันนั้นทันที ที่หนูพูดออกไปแบบนั้นตอนนั้นเพราะว่าหนูรั้งเขาไว้ไม่ได้แล้ว มันถึงวัยที่เขาต้องไปใช้ชีวิต คือ เราไม่อยากให้เขารอ เพราะถ้าวันนั้นเราบอกให้เขารอ เขาก็รอ แต่เขาจะต้องรอเราไปถึงเมื่อไหร่ เขารอแล้วครอบครัว สิ่งที่เขาวางไว้ หนูกำลังพังชีวิตคนคนหนึ่ง หนูรู้สึกว่าเราไม่ควรรั้งเขา เพราะตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตของเราต่างกัน เพราะหนูรู้สึกว่าเรียนจบอยากทำงานก่อน แต่พี่เขาที่ธุรกิจที่ต่างจังหวัดซึ่งเขาสามารถเลี้ยงหนูได้สบายๆเลย แต่หนูคิดว่าแล้วพ่อแม่หนูล่ะ ครอบครัวหนูล่ะ หนูจนมากเลยตอนนั้นหนูเดินอยู่ในห้องแบบแค่ 30 ตารางเมตรค่ะ เดินชนกันไปกันมา หนูรู้สึกว่าพ่อแม่ของหนูยังไม่ได้นอนที่ดีๆเลยจะเอาตัวเองไปสบายคนเดียวคงไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องอนาคตคือแรงกดดันเราทุกครั้ง แต่เราไม่เคยบอกเขาเลยเพราะถ้าเราพูดกับเขส เขาจะต้องเสียใจแน่ๆเพราะเขาต้องพูดว่าเขาเลี้ยงได้เขาดูแลได้แน่นอน แต่หนูรู้สึกว่าการที่หนูจะไปใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนหนึ่งหนูไม่ได้หวังให้เขามาดูแลครอบครัวหนู แต่หนูคิดว่าหนูต้องทำให้ครอบครัวหนูสบายก่อน เพื่อที่จะไปเจอกับครอบครัวเขาแล้วมันสมศักดิ์ศรี ซึ่งวันนั้นที่หนูปล่อยเขาไปหนูบอกได้เลยว่าหนูรักเขามากถึงยอมปล่อยเขา แต่ก็มีเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับ ซานิ ที่เรียกว่าทำให้ช็อคเพราะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย ซานิ : ด้วยความที่เราเด็กมากๆเราไปเจอกับเขานั่งอยู่กับผู้หญิงอีกคนเราก็ตกใจเพราะเขาเหมือนเริ่มคุยกับเราแล้ว เราก็ตกใจว่าทำไมเขามีอีกคนเหรอ เราก็เลยเดินหนีแล้วเขาเห็นเราพอดี เขาก็รีบเดินออกมา เราก็บอกเขาไปว่าไม่คุยด้วยความที่เราเด็กเราก็บอกไม่คุยๆก็ยื้อๆกันอยู่สักพัก หนูก็เดินออกมาแล้วเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ แป๊บเดียวได้ยินเสียงดังโครม !! คือ รถกระบะมาชนรถเขาแล้ว แต่ปัญหาคือ หนูดันจบด้วยคำที่แย่มากๆคือ ไม่อยากคุย โอ๊ย .. ไปตายเลยไป แล้วคือเหตุการณ์ก็เกิดหลังจากที่เราพูดจบเลย คือ ด้วยความที่เรายังไม่ได้คบเขาเป็นแฟน เหมือนแค่เราคุยกิ๊กกั๊กกัน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งออก แต่ ณ วินาทีนั้นหนูไม่ได้คิดเลยว่าใครเป็นใครหนูเดินถอยหลังมาแล้วก็มันพูดอะไรไม่ออกไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยนะคะ ไม่ได้กลับไปดู เพราะขาเราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย เราถอยหลังอย่างเดียวแล้วก็เดินออกไปเลย ซึ่ง ณ วินาทีนั้นเราคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไร แต่พออีกวันกลุ่มเพื่อนๆเขาก็มา บอกเราว่าเขาเสียแล้ว ความรู้สึกของเราตอนนั้นเหมือนเราฆ่าคนตายเหมือนกัน เพราะประโยคนั้นทำให้เรารู้สึกว่าทำไมเราต้องพูดประโยคนั้นออกไปด้วย เราพูดโดยไม่ตั้งใจแต่ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ซึ่งเราตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว สติไม่มีเลยวันนั้น เพราะเรื่องนี้เหรอ ถึงทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนดวงกินแฟน ซานิ : มันมีอีกค่ะ เช่น อย่างพี่ที่คบ 6 ปีอย่างนี้ คบๆกันอยู่ดีๆก็มีเหตุต้องย้ายไปอยู่ไกลๆ คือ อยู่ใกล้กันไม่ได้จะต้องแบบอยู่ห่างๆกัน อย่างแบบบางคนคบกันเราปุ๊บ !! เขาก็จะเจอกับเรื่องราวไม่ดีในชีวิต ซึ่งหนูเคยไปที่วัดพระท่านก็ทักว่าโยมเคยทำบุญให้คนที่มาด้วยหรือเปล่า หนูก็ถามท่านว่าใครที่มากับหนูล่ะคะ ท่าน..ก็บอกว่าหรือจะเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรก็ได้นะ หรือจะเรียกว่าเป็นเทวดาประจำตัวก็ได้ แล้วท่านก็บอกว่าสังเกตไหมเวลาที่เราจะคบใคร หรืออยู่ใกล้ใคร หรือจะต้องรักใครเนี่ย มันต้องมีอันต้องห่างกัน ซึ่งมีอันต้องห่างก็เพราะว่าคนนี้ที่ตามหนูเขาคอยห่วงตลอด หนูคิดย้อนกลับไปเลยค่ะ เพราะว่าหนูฝันติดกัน 3 วัน ว่าเหมือนเราอยู่ในยุคสมัยก่อนถ้าเปรียบคือเหมือนหนูอยู่ในยุควันทองใส่ชุดแบบแนวนั้น คือฝันสามวันเหมือนเรื่องปะติดปะต่อกันหมดเลย ก็เหมือนกับว่าเราใช้ชีวิตมาเป็นนางรำ เราเป็นนางรำต้องไปรำที่บ้านคนนี้ แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เขาก็รับเราไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง วันที่สองก็ฝันอีก แล้ววันที่สามก็ฝันอีกว่าในฝันมีโจรมีเรื่องมีราวแล้วเหมือนเรากำลังจะโดนดาบฟันตัวแต่คนนี้เขาเข้ามารับแทนเรา ซึ่งประโยคที่เขาพูดกับเราแล้วเราจำได้เลยก็คือ ใครก็เอาหนูไปไม่ได้ถ้าเขาไม่ให้ พอหนูฟังคำนี้ก็ตื่นมา (ตอนนั้นฝันตอนเด็กๆนะคะ) ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยเพราะคิดว่าเราคงดูละครจักรๆวงศ์ๆมากเกินไป แต่ก็พอมาปะติดปะต่อก็น่าแปลกใจ ถามว่า ณ ตอนนี้เขามาอยู่ไหมหนูไม่มั่นใจว่าเขายังอยู่ไหม แต่มีครั้งหนึ่งที่หนูไปช่วยคนที่ล้ม จากการชนแล้วหนี คือ วันนั้นมีลมมาปะทะตัวหนูที่จะเตือนก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไรหนูก็เลยเชื่อว่าเขายังอยู่ แต่มันก็มีวิธีการ (อันนี้ก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล) สวดมนต์เพื่อการตัดกัน ซานิ : ขอให้คำสัญญาใดๆที่เคยผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน (หนูท่องทุกวันค่ะ) คือ บทสวด สัพพัง อะปะรารัง หนูสวดทุกวัน แต่ในคำสวด แปลว่า เราไม่ได้จะตัดขาดกันตลอดนะคะ คือเราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้หมายถึงว่าให้เขาออกไปจากชีวิตของเรานะ เหมือนเป็นการส่งบุญว่าถ้าเกิดเราส่งบุญให้เขามากเท่าไหร่ เขาจะได้ไปเกิด หรือ เขาจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดี หรือว่าเราไปปลดปล่อยเขา ก็คือบทสวดที่หนูสวดประจำ สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูป : https://youtu.be/nacXXhPiJ2k https://youtu.be/UGvUvQdHBM8 https://youtu.be/5RUuRmqFImk https://youtu.be/ILOC6c7M_e0 https://youtu.be/5MGWwsp3oTo