เมื่อวันที่ 25 เม.ย.นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรมต.ประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ระบุว่ามีข่าวนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังจะขอให้รัฐสภา ขยายวงเงินกู้แก้โควิด 1.9 ล้านล้านบาทว่า ไม่จริงเพราะรัฐบาลกู้ 1 ล้านล้านบาท เพราะจำเป็นต้องเอามาแก้ปัญหา และเตรียมการเยียวยาประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นวิกฤตทั่วโลก ที่ไม่มีใครรู้ ใช้งบประมาณปกติก็ไม่เพียงพอ จึงต้องเตรียมรับมือล่วงหน้า ด้วยการประเมินสถานการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและด้านการเงินการคลัง ข้อมูลที่นายจิรายุไม่เคยถูกต้อง แล้วจะมีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร
ทั้งนี้ การออกกฎหมายกู้เงิน ก็ผ่านกระบวนการรัฐสภา ผ่านการเห็นชอบว่าเหมาะสมแล้ว รัฐบาลก็ไม่ได้คิดเองเออเอง การบริหารหนี้สาธารณะของประเทศก็เป็นไปตามกรอบของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ตรวจสอบได้เสมอ ส่วนเรื่องการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 กระทรวงการคลังได้ชี้แจงไปแล้วว่า ตั้งแต่ปี 2563 ช่วงที่โควิด-19 เข้ามารัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการเราชนะ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.7 ล้านคน โครงการคนละครี่งและเราเที่ยวด้วยกัน 8.2 ล้านคน และโครงการอื่นๆ อีก มีประชาชนได้รับผลประโยชน์มากเป็นประวัติการณ์ ราว 33 ล้านคน วงเงินเกือบ 2 แสนล้านบาท เม็ดเงินกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจข้างล่าง ทั้งร้านค้าทั่วไป สถานบริการ กิจกรรมขนส่ง เป็นต้น โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พี่น้องเกษตรกรก็ได้รับการเยียวยา กลุ่มเปราะบาง และผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกด้วย
ที่สำคัญเงินส่วนหนึ่ง กว่า 45,000 ล้านบาท ก็จะไปเสริมศักยภาพระบบสาธารณสุขของประเทศ ดูแลบุคคลากรด้านการแพทย์ รวมทั้ง อสม.ให้สามารถทำงานได้เต็มที่ ให้คนไทยเกือบ 70 ล้านคน ผ่านพันวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
สำหรับการรับมือผลกระทบรอบนี้ รัฐมีงบประมาณกว่า 3.8 แสนล้านบาท จากงบฯ จากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่ 2.4 แสนล้านบาท และยังมีงบฯ รายจ่ายประจำปี 2564 อีก 1.39 แสนล้านบาท ดังนั้นยังมีวงเงินที่จะใช้เหลืออยู่สามารถใช้เพื่อบรรเทาผลกระทบโควิดรอบใหม่นี้ได้
ส่วนการขยายวงเงินกู้ของประเทศไทย นายจิรายุบอกเองว่าเป็นกระแสข่าว ก็ไม่น่าจะแปลกถ้าจะมีการตั้งสมมติฐานไว้ก่อน เตรียมการไว้ก่อน กรณีที่อาจเกิดอะไรที่ไม่คาดคิด แต่ถ้าไม่คิดไว้ก่อน ก็จะเป็นการประมาท หรือไม่มีวิสัยทัศน์ของรัฐบาลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเพียงกระแสข่าว ซึ่งใครจะพูดอะไรก็ได้ เหมือนนายจิรายุพูดข้อเท็จจริงผิดๆ ถูกๆ บิดเบือนข้อเท็จจริง ยกข้อมูลเฉพาะที่ตนได้ประโยชน์มากล่าว ดังนั้นก็ขอให้มีการดำเนินการตามที่กล่าวอ้างก่อน นายจิรายุจึงค่อยออกมาโวยวาย วิพากย์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ ซึ่งยังไงเสียก็ต้องผ่านสภาอยู่ดี
นายเสกสกล กล่าวว่า ยืนยันนายกฯนำงบประมาณมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ซึ่งมาตรการ หรือโครงการต่างๆที่ออกมาก็สามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้เป็นย่างดี ประชาชนพอใจ อีกทั้งในด้านสาธารณสุขที่ผ่านมาก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น แต่นายกฯ ศบค. สาธารณสุข ได้ทำงานอย่างเต็มที่ และเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ รวมถึงนำงบประมาณมาใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุด และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในนายกฯ รัฐบาลในการแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้น
"นายกฯ ได้สั่งการให้มีการชี้แจงประชาสัมพันธ์ตลอด เพื่อให้ทราบถึงการใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่าให้ทุกคนได้รับรู้ ไม่มีการหมกเม็ดเพื่อผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เป้าหมายสูงสุดคือการดูแลเยียวยาประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขอนายจิรายุ อย่าแกล้งไขสือทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพื่อตีกินทางการเมืองเช่นเดิมตามนิสัยพฤติกรรมของคนในพรรคเพื่อไทย ต่อให้นายกฯ และรัฐบาลทำดีมากแค่ไหน ก็ต้องแกล้งโจมตีด่าทอเพื่อให้ประชาชนเกลียดชังเข้าใจผิด ซึ่งไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ประชาชนที่รู้ทันจะสาปแช่งพรรคเพื่อไทย ให้สูญพันธ์ได้" นายเสกสกล กล่าว