ระบุแม้ตัวเลขจะลด แต่ยังต้องเกาะติดเข้มข้น เตรียมเสนอมาตรการเพิ่มเติม จำกัดการเดินทาง ให้ทำงานที่บ้านเพิ่มเป็น 75% งดกินอาหารในร้านมีเครื่องปรับอากาศ ลดความแออัดในรถสาธารณะ พร้อมห่วงสถานการณ์ 10 จังหวัด อาจชงศบค.ชุดเล็กยกระดับเพิ่มมาตรการ ขณะยาฟิวิพิราเวียร์คืนนี้มาเพิ่มอีก 2 ล้านโดส นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยว่า วันนี้ตัวเลขลดลง แต่ภาพรวมยังต้องจับตาใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงวันจันทร์ อังคารนี้จะเพิ่มหรือไม่ ซึ่งสธ.อาจมีการประชุมเพิ่มมาตรการเพื่อนำเสนอศบค.ชุดเล็กต่อไป โดยที่น่าสังเกตผู้เสียชีวิตวันนี้เกินครึ่งมีน้ำหนักเกิน ซึ่งต้องระมัดระวังในกลุ่มคนอ้วน เพราะเมื่อป่วยโควิด และอ้วนจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ปอดได้ง่าย ทั้งนี้ หลังมีมาตรการออกมา วันจันทร์วันอังคารนี้ ต้องดูสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งยังต้องขอความร่วมมือลดกิจกรรม ลดเดินทาง ขณะที่ยังคงมีขาวตลอด มีการจัดปาร์ตี้ที่บ้าน เช่น นนทบุรี ยังมีจับกลุ่มกินเหล้า ขณะที่ดู 10 อันดับผู้ติดเชื้อสูงสุด 6 จังหวัด แรก ที่พบในกทม.-ปริมณฑล เชียงใหม่ ชลบุรี อาจมีการนำเสนอให้ยกระดับเปลี่ยนสีอีกครั้ง ขณะอีก 4 จังหวัดยังต้องจับตา ทั้งนี้ สรุปสถานการณ์ติดเชื้อจากสถานบันเทิงกลุ่มก้อนเริ่มลด ไปติดที่บ้าน ที่ทำงาน จึงให้เข้มมาตรการส่วนบุคคล ซึ่งจะนำเสนอมาตรการเพิ่มเติม ทั้งส่วนบุคคลและส่วนสถานที่ ทั้ง จำกัดการเดินทาง และการรวมกลุ่ม คนมากกว่า 20 คนขึ้นไปในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ได้แก่ สถานประกอบการให้พนักงานทำงานที่บ้าน 75% ลดเวลาทำการ และลดกิจกรรมในสถานที่เสี่ยง เช่น ห้างฯ สถานที่ราชการ ที่ว่าการอำเภอ โรงพัก ศาล วัด สถานปฏิบัติธรรม สระว่ายน้ำ , งดทานอาหารในร้านอาหารห้องปรับอากาศ/ระบายอากาศไม่ดี, ปิดหรือลดจำนวน ลดเวลา สถานที่เล่นกีฬา เล่นกีฬาร่วมกัน เช่น ฟุตซอล, ลดความแออัดของผู้โดยสารขนส่งสาธารณะ จำกัดจำนวนผู้โดยสารต่อที่นั่ง เช่น เพิ่มจำนวนรถในช่วงที่มีผู้ใช้บริการมาก จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการต่อเที่ยวสำหรับรถตู้ รถประจำทาง รถไฟฟ้า กำกับติดตามมาตรการที่กำหนดไว้ โดยฝ่ายปกครอง ความมั่นคงและทุกหน่วยงาน ขณะที่ยารักษาโควิด ฟาวิพิราเวียร์นั่น นพ.โอภาสกล่าวว่า ตรวจสต๊อก มีแสนกว่าเม็ด ขณะที่มีการใช้ 1-2 หมื่นเม็ดต่อวัน ทั้งนี้ ในคืนนี้จะมาอีก 2 ล้านเม็ด และ รมว.สธ.ได้สั่งให้จองเพิ่มอีก 2-3 ล้านเม็ด ขณะที่พบว่าการใส่หน้ากากอนามัย มีแนวโน้มที่ดีที่จะคุมสถานการณ์ โดยพบว่าการใส่สูงขึ้นเป็น 98 เปอร์เซ็นต์ ใส่ไม่ถูกต้องลดเหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใส่ 0.79% ซึ่งผู้ที่ไม่ใส่จะมีความผิดตามกฎหมาย