ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
นักวิชาการส่วนใหญ่ชอบเก็บตัว น้อยคนที่อยากเป็นข่าว หรือ “ชอบให้ข่าว”
สุณิศาเชื่อว่าวิชาสื่อสารมวลชนที่ได้เรียนมา คือวิชาที่ว่าด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน และครูบาอาจารย์หรือนักวิชาการก็คือผู้ที่จะให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีที่สุด เพราะมีอาชีพและบทบาทในเรื่องการให้ความรู้ความเข้าใจต่าง ๆ แก่ผู้คนทั้งหลายอยู่แล้ว
ในตอนที่ทำงานเป็นนักข่าวใหม่ ๆ สุณิศาจึงชอบไปสัมภาษณ์นักวิชาการ แต่ก็พบปัญหาว่าบรรดาครูบาอาจารย์ที่ไปขอสัมภาษณ์นั้น ต่างก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่มักจะออกตัวว่าไม่ค่อยสะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ หรือบางคนก็บอกว่าไม่รู้อะไรกับเรื่องที่ถาม แต่ความจริงแล้วคนเหล่านั้นมีความกลัว คือกลัวว่าจะพูดไปกระทบกระเทียบพาดพิงใคร ๆ ที่อาจจะนำอันตรายมาสู่ตนและครอบครัว รวมทั้งความกลัวที่ตนเองเป็นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ ที่การให้สัมภาษณ์อาจจะกระเทือนต่อหน้าที่การงาน เพราะไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นการเมืองต่าง ๆ ที่แม้แต่อาจารย์รัฐศาสตร์เองก็พยายามหลบเลี่ยง
หลังจากการเดินขบวนขับไล่ผู้บริหารในมหาวิทยาลัยที่ผมทำงานอยู่ได้จบลง สุณิศาก็ยังติดต่อขอมาสัมภาษณ์ผมในเรื่องประเด็นการเมืองในหลาย ๆ เรื่องอยู่เสมอ ๆ เพราะสุณิศาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นผมเพิ่งได้รับตำแหน่งประธานกรรมการประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ หรือที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เรียกว่า “คณบดี” จึงออกจะภูมิใจเวลาที่ได้ให้สัมภาษณ์และออกสื่อในตำแหน่งนี้ เพราะได้โฆษณาให้กับมหาวิทยาลัย และได้แสดงความรู้ความเห็นที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์
“อาจารย์นี่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เลยนะ” สุณิศาพูดขึ้นมาในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง
“หนูไปสัมภาษณ์ใคร ๆ มีแต่คนหลบหน้าหาทางหลบเลี่ยง แต่อาจารย์ไม่เป็นแบบนั้น”
ผมก็เพิ่งมาทราบว่านักวิชาการส่วนใหญ่มักจะปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ แต่สำหรับผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย อาจจะเป็นด้วยการที่ผมได้เคยทำงานเป็นเลขานุการของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงเห็นว่าการให้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นครูบาอาจารย์ และยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้คำตอบในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบ้านเมือง ซึ่งพอผมมาเป็นอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ก็เลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่ามักจะรู้สึก “ตื่นเต้น” แทบทุกครั้งที่จะต้องให้สัมภาณ์ในประเด็นร้อน ๆ ในทางการเมือง โดยเฉพาะที่จะต้องตอบคำถามของสุณิศา ที่มักจะมี “อุบาย” มาให้ต้องตอบในทุกครั้ง
ในช่วงนั้นเป็นยุคที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีข่าวว่าพรรคไทยรักไทยที่มีหัวหน้าพรรคชื่อ ดร.ทักษิณ นั้น กำลังใช้ “ยุทธศาสตร์มืด” บีบบังคับให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ทั้งที่ได้เข้ามาร่วมรัฐบาลแล้ว และที่ยังไม่ได้เข้ามาร่วม ให้เข้ามารวมกันเป็นพรรคเดียวกันกับพรรคไทยรักไทย โดยหวังที่จะให้พรรคไทยรักไทยนั้นเป็นพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียวในรัฐสภา แต่ที่เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือ เป็นพรรคใหญ่พรรคเดียวที่สนับสนุนรัฐบาล ซึ่งได้มีการใช้กลอุบายต่าง ๆ ทั้งที่ใช้การแลกเปลี่ยนหรือให้ผลประโยชน์แก่นักการเมืองในพรรคการเมืองเหล่านั้นแล้ว ยังมีการใช้กฎหมายและอิทธิพลต่าง ๆ เข้ากดดันให้ ส.ส.ในพรรคอื่น ๆ นั้นยอมยุบพรรคเข้ามาร่วมด้วยกับพรรคไทยรักไทยให้ได้
สุณิศาโทรศัพท์มาหาผมในเช้าวันหนึ่งเพื่อถามประเด็นร้อนข้างต้น “อาจารย์ว่าใครจะสู้กับคุณทักษิณได้บ้าง” สุณิศามักจะเริ่มด้วยการโยนประเด็นที่ “ก้าวหน้า” ไปมากกว่าที่กำลังเป็นข่าวว่า พรรคไทยรักไทยจะสามารถ “ฮุบ” พรรคการเมืองอื่น ๆ ได้หมดสภาหรือไม่ เพราะได้มองข้ามช็อตไปถึงสภาพการณ์หลังจากที่ฮุบพรรคต่าง ๆ นั้นได้สำเร็จแล้ว ว่าใครสามารถที่จะต่อต้าน ดร.ทักษิณนี้ได้บ้าง ซึ่งถ้าใครเจอคำถามแบบนี้ก็คงตั้งตัวไม่ทัน หรือคิดตามไม่ทัน เพราะเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ
ผมอึกอักอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะนึกถึงทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่เคยได้เรียนมา แล้วตอบออกไปในแนวที่เป็นความคิดเห็นทางวิชาการก่อนว่า นี่คือ “เผด็จการทางรัฐสภา” ที่มักจะเกิดขึ้นอยู่ในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีพรรคการเมืองใหญ่มีเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จรัฐสภาอยู่เพียงพรรคเดียว อย่างประเทศสิงคโปร์ รวมถึงประเทศที่ส่งเสริมให้มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวให้มีอำนาจในการปกครองประเทศ อย่างประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ทั้งหลายที่มีพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจอยู่เพียงพรรคเดียวนั้น
“คุณทักษิณทำอย่างนี้ แล้วคุณทักษิณจะไปรอดไหม” สุณิศาถามอีกเมื่อผมตอบไม่ตรงคำถาม
พอได้ยินคำถามนี้ ผมก็ต้องหยุดสาธยายทฤษฎีการเมืองนั้นในทันที แล้วรวบรวมสมาธิตอบคำถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณทักษิณจะสร้างศัตรูมากมายทั้งในและนอกสภา” ดูเหมือนว่าสุณิศาทำตาโตอย่างสนอกสนใจ ก่อนที่ผมจะอธิบายต่อไปว่า “คนที่เข้ามาอยู่ในพรรคเขาเข้ามาด้วยความจำใจ แม้จะมาอยู่เป็นพรรคเดียวกันก็ควบคุมยาก เพราะมีปัญหาเรื่องความจงรักภักดี จึงขาดความซื่อสัตย์ และจะทำให้เสถียรภาพของคุณทักษิณคลอนแคลนทั้งในสภาและในรัฐบาล”
“ส่วนในหมู่มวลชน คุณทักษิณก็จะแยกมวลชนเป็นสองกลุ่ม แม้ว่าคุณทักษิณอาจจะคุมเสียงข้างมากได้ในสภา แต่ในหมู่ประชาชนก็จะมีสองพวกเหมือนเดิม คือพวกที่เอาคุณทักษิณ กับพวกที่ไม่เอาคุณทักษิณ แล้วคนสองพวกนี้ก็จะทะเลาะกัน เพราะยังไงในผู้ชนชั้นปกครองก็ยังมีคนที่ไม่เอาทักษิณนั้นเป็นจำนวนมากอยู่ด้วย และยิ่งคุณทักษิณคิดเหิมเกริมจะยึดครองประเทศไปทั้งหมดนี้ ก็ยิ่งจะไปทะเลาะกับพวกชนชั้นสูงนั้นมากขึ้น และนั่นก็คืออันตรายที่รายล้อมคุณทักษิณอยู่” ผมสรุปเหมือนว่ากำลังห่วงใยใครสักคน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก็มีการเลือกตั้งใหญ่ เนื่องจากสภาครบวาระ 4 ปี ซึ่งพรรคไทยรักไทยก็ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายตามคาด แต่ก็อยู่ไปอย่างยากลำบาก เพราะมีฝ่ายต่อต้านออกมามากมาย จนที่สุด ดร.ทักษิณก็ประกาศยุบสภา ให้มีเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่ปรากฏว่าถูกพรรคการเมืองบางพรรคคว่ำบาตรด้วยการไม่ลงเลือกตั้ง ทำให้พรรคไทยรักไทยต้องไปจ้างพรรคเล็กพรรคน้อยให้มาลงสมัครให้ครบถ้วนตามรัฐธรรนูญ แต่ก็ยังขาดอยู่อีกหลายสิบเขต จนต้องมีการเลือกตั้งเพิ่มในวันที่ 23 เมษายน แต่ก็มีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ มีการชุมนุมของม็อบเสื้อเหลืองกับม็อบเสื้อแดง ที่สุดศาลรัฐธรรนูญได้ประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและยุบพรรคไทยรักไทย กระนั้นก็ยังไม่ยุติการชุมนุม กระทั่งทหารต้องออกมาทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 และ ดร.ทักษิณต้องระเห็จหนีไปอยู่ยังต่างประเทศ
สุณิศามาชมผมภายหลังจากนั้น แต่ผมถ่อมตัวว่า “มันคงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”