วันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับคดี ในคดีที่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอชะลอการจ่ายค่าเสียหายราว 2.4 หมื่นล้านบาท แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ที่ให้ 2 หน่วยงานรัฐ ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว
ส่วนเหตุผลที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวระบุว่า เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.221-223/2562 พิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2 551 โดยให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพัน ทั้ง 2 หน่วยงานต้องปฏิบัติตาม คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวในมาตรา 70 วรรคหนึ่ง พ.ร.บจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 แม้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.จะอ้างว่าได้ดำเนินการทางศาล โดยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่ามติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 18 /2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2545 ขัดต่อรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 หรือไม่ และ รฟท.ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ให้เพิกถอน ทะเบียนบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมทั้ง 2 หน่วยงานได้ดำเนินการสอบสวน เพื่อหาผู้รับผิดชอบทางแพ่งและทางวินัยจากการกระทำความผิดในโครงการนี้ก็ตาม แต่ในชั้นนี้กรณีดังกล่าวไม่เป็นเหตุที่จะเข้าเงื่อนไขในการงดการบังคับคดี ตามข้อ 131 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2543
ส่วนการทุเลาการบังคับคดีนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลในการทุเลาการบังคับคดี ประกอบกับคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามมาตรา 73 วรรค 4 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ศาล จึงไม่อาจมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีได้เช่นกัน