ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตลดลงที่ 1.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% เนื่องจากได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าระลอกก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะไม่มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด แต่ความกังวลต่อสถานการณ์ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงมีผลต่อการบริโภคครัวเรือนให้มีทิศทางต่ำกว่าที่ประเมิน
โดยกรณีที่การแพร่ระบาดยืดเยื้อหรือมีการระบาดที่รุนแรงอีกรอบไตรมาส 3/2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะไม่เติบโตจากปีก่อนหน้า ภายใต้สมมติฐานที่ว่าภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วงเงินที่เหลือตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2564-2565
ทั้งนี้สถานการณ์ปัจจุบันยังมีความกังวลถึงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2 ล้านคน โดยมองว่ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องโดยใช้วงเงินงบประมาณที่เหลืออยู่จนหมด ไม่มีการกู้เงินเพิ่มเติม แต่หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด และยังมีความจำเป็นต้องมีมาตรการภาครัฐเพื่อดูแลผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิดเพิ่มเติม หากรัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรมีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ดูแลเศรษฐกิจก็อาจจะส่งผลให้ตัวเลข GDP ในปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่า 1.8%
อย่างไรก็ตาม มีตัวแปรสำคัญคือ การเร่งฉีดวัคซีน หากมีความล่าช้าก็อาจทำให้การแพร่ระบาดยืดเยื้อหรือเกิดการแพร่ระบาดอีกระลอก และหากไม่สามารถควบคุมได้หรือเกิดการแพร่ระบาดอีกรอบในช่วงไตรมาส 3/2564 จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมาก ซึ่งทำให้ความหวังของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวให้ทยอยกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอาจต้องล่าช้าออกไปอีกปีหนึ่ง ซึ่งจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปยังการจ้างงานและการบริโภค
ขณะที่มาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด รวมถึงการเร่งปูพรมกระจายวัคซีนเป็นภารกิจเร่งด่วน เนื่องจากระบบสาธารณสุขไทยมีขีดจำกัดในการรองรับผู้ติดเชื้อ หากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังอยู่ในระดับสูงมากกว่าพันคนอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนๆ อาจเกิดภาวะระบบสาธารณสุขล่ม และส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนแฝง (Hidden cost) ที่อาจประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มเห็นหลายโรงพยาบาลเผชิญกับปัญหาเตียงผู้ป่วยเต็ม และขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเครื่องช่วยหายใจ ขณะที่ต้นทุนต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนจะเพิ่มขึ้น โดยผู้ป่วยธรรมดาก็ไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้เป็นปกติเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อประสิทธิภาพของแรงงานให้ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมากกว่าการบริโภคที่ลดลงและรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ดังกล่าวได้รวมปัจจัยบวกจากแนวโน้มการส่งออกที่จะเติบโตดีกว่าที่เคยประเมินไว้จากอานิสงส์ของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไปแล้ว โดยมีโครงการที่ยังดำเนินอยู่ เช่น โครงการเราชนะ และโครงการเรารักกัน ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 31 พ.ค.64 ขณะที่มีมุมมองว่าภาครัฐจะมีมาตรการต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศภายใต้วงเงินกู้ 1 ล้านล้าน ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ราว 2.4 แสนล้านบาท ประกอบกับยังมีเงินจากงบกลางภายใต้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่สามารถนำมาใช้ได้อีกราว 1.3 แสนล้านบาท
“หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด และยังมีความจำเป็นต้องมีมาตรการภาครัฐเพื่อดูแลผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิดเพิ่มเติม โดยหากรัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรมีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อใช้ดูแลเศรษฐกิจอาจจะส่งผลให้ตัวเลข GDP ในปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่า 1.8%”