เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2564 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยนายอดิศร ร่มสนธิ์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ ร่วมประชุมกับ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ผ่านระบบ Zoom หลังอปท.ร้องเรียนกรณีมีปัญหาและข้อจำกัดในการปฏิบัติหน้าที่อันเกิดจากพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 พล.อ.วิทวัส กล่าวว่า สืบเนื่องจากสำนักงานเทศบาลนครยะลาได้ร้องเรียนกรมบัญชีกลางกรณีให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้มีการกันเงินและขอขยายเวลาเบิกเงินจากคลังไว้ก่อนพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณ ปี พ.ศ. 2555 - 2562 ที่ได้ขอกันไว้ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้งบประมาณนั้นต้องถูกพับไปโดยผลของกฎหมาย หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความจำเป็นต้องจัดหางบประมาณเพื่อเบิกจ่ายให้แก่คู่สัญญาที่ได้เข้าทำสัญญาโดยสุจริตไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการบริหารสัญญา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นก็อาจพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายหรือมีความจำเป็นน้อยกว่าไปตั้งเป็นรายการใหม่เพื่อเบิกจ่ายให้แก่คู่สัญญา หากเงินงบประมาณมีไม่เพียงพอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงิน อาจขอทำความตกลงกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อนำเงินสะสมไปใช้ในกรณีดังกล่าว ซึ่งสำนักงานเทศบาลนครยะลาเห็นว่าพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 43 และมาตรา 55 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย เป็นการสร้างปัญหาความอิสระในการบริหาร การจัดทำบริการสาธารณะ ไม่ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น          พล.อ.วิทวัส กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มีเจตนารมณ์เพื่อให้การบริหารจัดการการใช้งบประมาณของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยงานของรัฐที่ใช้งบประมาณแผ่นดินต้องมีวินัยการเงิน - การคลัง รู้จักวางแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างถูกต้อง มีระบบ และเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานต้องปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการแจ้งเตือนให้หน่วยงานทราบก่อนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ว่าหากหน่วยงานไม่อาจเบิกจ่ายงบประมาณได้ทัน งบประมาณรายการนั้นต้องพับไปตามผลของกฎหมาย โดยคาดว่ายังมี อปท. อื่น ๆ จากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ที่อาจจะประสบปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งจากการหารือในวันนี้เพื่อให้เกิดแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัย ดังนี้     1. พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 43 และมาตรา 55 ไม่มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ     2. สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทัน และเปลี่ยนแปลงแก้ไขงบประมาณไม่ได้ รวมทั้งไม่มีเงินสะสมเพียงพอที่จะนำไปจ่ายให้กับคู่สัญญา มอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณากลั่นกรองโครงการของอปท. ที่เกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามขอใช้งบกลางไปยังสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดสรรงบประมาณให้อปท. ดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นี้      3. ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดในการติดตาม กำกับดูแล การบริหารจัดการงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ระหว่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 กับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจ ให้คำแนะนำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำร่างขอบเขตงาน (Terms of Reference : TOR) ตลอดจนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นการล่วงหน้า เพื่อที่ว่าเมื่องบประมาณของปีใหม่ได้รับการจัดสรรมาแล้วจะได้ลงนามในสัญญาได้และใช้จ่ายงบประมาณได้ทันตามกำหนดเวลา อันเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศโดยรวมอีกด้วย