ผลงานวิจัยล่าสุดจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมความงามในอนาคต ภายหลังการค้นพบสารกลุ่ม “ฟีนอลิก” ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากเอื้องเค้ากิ่วและดอกมณฑา ที่หวังนำมาต่อยอดผลิตเครื่องสำอางคุณภาพสูง “พืชทั้งสองสายพันธุ์มีสารสำคัญกลุ่ม ฟีนอลิก ที่มีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อน สามารถเข้าจับกับอนุมูลอิสระทั้งในและนอกเซลล์ได้ดีมากกว่าสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ความงามในท้องตลาด เมื่อสกัดและแยกเอาสารบริสุทธิ์มาทดสอบกับเซลล์ปกติของมนุษย์ (Normal cell) แล้ว พบว่าไม่เป็นพิษต่อเซลล์” ประจักษ์ ขุมพลอย นิสิตปริญญาโท หนึ่งในทีมวิจัยจากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยสรรพคุณของสารบริสุทธิ์ที่พบจากพืชสายพันธุ์พื้นเมืองของไทย “ปัจจุบัน เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมีให้เลือกมากมายในท้องตลาด แต่หากมีสารสกัดจากธรรมชาติที่ผ่านการวิจัยมาแล้วอย่างดี มีความน่าเชื่อถือ ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัย ลดอันตรายจากผลข้างเคียงในการใช้งานได้มากขึ้น” ประจักษ์ กล่าวเสริมถึงที่มาของงานวิจัย ภายใต้การนำของศาสตราจารย์ ดร.ขนิษฐา พุดหอม ประจักษ์อธิบายว่าสารในกลุ่มฟีนอลิกมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและบรรเทาอาการอักเสบได้ถึงระดับเซลล์ ซึ่งในเอื้องเค้ากิ่วประกอบด้วยสารสำคัญในกลุ่ม ไบเบนซิน ฟลาโวนอยด์ เทอร์พีนอยด์ ส่วนในดอกมณฑาพบสารสำคัญในกลุ่ม อัลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ ลิกแนน นีโอลิกแนน และเทอร์พีนอยด์ ยิ่งกว่านั้น สารชนิดนี้อาจมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งจะได้มีการลองทดสอบในอนาคตต่อไป นอกจากฟีนอลิกแล้ว ทีมวิจัยยังพบสารสกัดชนิดใหม่ในกลุ่มเซสควิเทอร์ปีนแลคโทน (Sesquiterpene Lactone – SLs) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ มีความเป็นพิษต่อเซลล์น้อยถึงแทบไม่มีเลย ซึ่งสามารถนำมาใช้เสริมประสิทธิภาพการออกฤทธิ์กับสารตัวอื่นๆ ได้ “เรายังไม่ได้ระบุชื่อสารสกัดตัวนี้อย่างเป็นทางการ ต้องรอจนกว่างานวิจัยจะได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่ได้ตีพิมพ์เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 แต่ถ้างานวิจัยได้รับการตีพิมพ์แล้ว เราจะนำสารชุดนี้ไปตรวจสอบเพิ่มเติม โดยสารที่มีประสิทธิภาพดีจะถูกขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ครีมและส่งทดสอบการซึมผ่านผิว เป็นต้น” ประจักษ์ และ ศ. ดร.ขนิษฐา กล่าวว่า “ในอนาคตอาจมีการต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้การดำเนินงานของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และเป็นวัตถุดิบ (Active Ingredient) สำหรับบริษัทอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ขึ้นกับโอกาสและความน่าสนใจในการพัฒนา” “คนไทยเราวิจัยพบสารใหม่ๆ จากสมุนไพรอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่เราต้องไม่นำพืชมาใช้เพียงชนิดเดียวทื่อๆ แต่ต้องวิจัยทดลอง หาสารสกัดและสูตรที่เสริมฤทธิ์ระหว่างกัน” ศ.ดร.ขนิษฐา แนะ พร้อมกล่าวถึงศักยภาพของพืชสมุนไพรไทยในการนำมาสกัดทางเคมี เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเป็นพืชเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม “ประเทศไทยได้เปรียบเรื่องความหลากหลายของพืชสมุนไพร เทคโนโลยีและความสามารถของคนไทยก็พร้อม เราสามารถเป็นฮับ (hub) ของพืชสมุนไพรในภูมิภาคได้เลย น่าจะขยายผลสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ” ศ.ดร.ขนิษฐา กล่าวส่งท้าย