เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน "จน ..เครียด ..กินเหล้า."เป็นโฆษณาของ สสส.ว่า แต่วันนี้หากจะล้อเลียนโฆษณาดังกล่าวว่า "แชร์ลูกโซ่ โควิด จิตตก เครียด"
สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง และเป็น ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดากรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ซบเซา เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 การค้าขายในช่องทางปกติ ตั้งแต่ร้านโชว์ห่วย ไปจนถึงซุปเปอร์สโตร์ หรือห้างสรรพสินค้า ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะทุกคนไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้ธุรกิจการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ดังจะเห็นได้จากการเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุมากหน้าหลายตา เพราะเมื่อเปิดสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม หรือ แอพพลิเคชั่นไลน์ ก็มีโฆษณาขายสินค้าออนไลน์ Live สดกันเป็นทิวแถว
ปัจจุบันแชร์ลูกโซ่ระบาดหนักในสื่อออนไลน์ แน่นอนว่า เหรียญย่อมมีสองด้าน สื่อออนไลน์ นอกจากจะทำให้ หลายๆคนลืมตาอ้าปากได้ด้วยการโพสต์ขายของจิปาถะเพราะสามารถเข้าถึงคนเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วแล้ว ธุรกิจแอบแฝงแชร์ลูกโซ่ ก็อาศัยช่องทางสื่อออนไลน์ในการหลอกลวง ประชาชนเช่นเดียวกัน โดยที่พบเห็นกันมาก คือการโพสต์ข้อความโน้มน้าวให้เห็นผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว เช่น ลงทุนร้อย ได้คืนเป็นพันใน 7 วัน หรือสุ่มแจกวันนี้ 5,000 บาท หรือ ให้ร่วมทายปัญหาง่ายๆ เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับดัก รวมไปถึง การโพสต์ชีวิตหรู - กินอยู่สบาย ในสังคมไฮโซ (จอมปลอม) ของผู้ริเริ่มธุรกิจ หรือ ท้าวแชร์ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ การฉ้อโกงในรูปแบบแชร์ลูกโซ่เป็นปัญหาที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนานและไม่มีวันลดน้อยลงเพราะบริบทของสังคมยังเป็นสังคมแบบปัจเจกนิยม หรือ ตัวใครตัวมัน ปัจจุบันนี้ ท้าวแชร์มีวิธีการหลอกลวงผู้เสียหายหลากหลายรูปแบบ แม้กระทั่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ก็ยังกลายเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพหยิบยกโภคภัณฑ์จำพวก ถุงมือยาง เจลล้างมือ มาอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชน
ฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการถูกชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูง และขอให้ติดตามข่าวสาร ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาผู้ที่มีความรู้หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะทำการลงทุนใดๆเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลเบาะแส ผ่านสายด่วนกระทรวงยุติธรรม โทร.1111 กด 77 โทร. ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
ก่อนหน้าที่ผมจะก่อตั้งสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ผมถูกครอบครัวซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน บ่มเพาะให้ตั้งใจทำมาหากิน อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น อย่าไปขึ้นโรง (พัก) ขึ้นศาล หรือค้าความกับใคร เพราะทำให้เสียเวลานั่นทำให้ในช่วงวัยเยาว์ ผมใฝ่ฝันที่จะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจส่งออกที่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เมื่อได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัสกับความไม่ชอบธรรมในสังคม ความเดือดร้อนของคนอื่น ก็เกิดความสงสาร เห็นใจ และครุ่นคิดว่า ถ้าเราไม่ช่วยเขา แล้วใครจะช่วย สิ่งเหล่านี้ค่อยๆซึมซับไปทีละเล็กทีละน้อย และคิดว่า ถ้าสังคมมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน สังคมนั้นจะน่าอยู่ ในทางตรงกันข้าม ถ้าสังคมใดมีแต่ความเห็นแก่ตัว หรือเป็นสังคมปัจเจกนิยม มือใครยาว สาวได้สาวเอา ความวุ่นวายย่อมบังเกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์พระราชทานจิตอาสาให้กับประชาชนมีจิตสาธารณะในการช่วยเหลือผู้อื่น
แชร์ลูกโซ่เป็นเรื่องที่ท้าทาย และยากที่สุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่มีกิจกรรมใดในโลกที่หลอกคนจำนวนมากในเวลาอันพริบตา โจรปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ก็จะได้ทรัพย์จากคนเพียงไม่กี่คน แต่ถ้าแชร์ลูกโซ่ หลอกคนครั้งเดียวได้เหยื่อเป็นพันเป็นหมื่นคน ลองคิดสภาพดูว่า นอกจากตัวเหยื่อจะได้รับความเดือดร้อนที่ถูกหลอกเอาเงินไปแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังเขา ครอบครัวเขา จะเดือดร้อนสักเพียงใด เพราะแชร์ลูกโซ่ทำลายให้หมดตัวและเป็นหนี้สิน บางคนชักชวนผู้อื่นให้มาร่วมลงทุนก็กลายเป็นผู้ต้องหาไปด้วย เสียทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ และหน้าตาในสังคม มิหนำซ้ำยังถูกสังคมตราว่าเป็นคนโลภอีกด้วย ไม่มีนักการเมืองคนใดออกมาช่วยเหลือประชาชนในเรื่องแชร์ลูกโซ่ ผมคิดว่า ผมถูกกำหนดมาให้มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ ผมเชื่อว่า ไม่มีเรื่องบังเอิญในทางพุทธศาสนา ถ้าคนมีอำนาจ มีบารมีมีความสามารถ แล้วไม่มีมุทิตาจิตก สังคมนั้นจะอยู่ ลำบาก หากมีอำนาจ มีบารมี แต่วางอุเบกขาในสังคม สังคมจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
การแก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ ทำให้ชื่อผมเป็นที่รู้จัก ในสายตาประชาชน คือ การออกมาเปิดโปงธุรกิจยูฟัน และเป็นผู้รวมกลุ่มผู้เสียหายกว่า 2,000 คน มีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ช่วงนั้น ได้รับการต่อต้านจากครอบครัวเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลที่ว่า ไปสร้างศัตรูทำไม แต่ผมคิดว่า เรายืนอยู่บนความถูกต้อง เราทำด้วยจิตมุ่งมั่น บริสุทธิ์ ความยุติธรรมต้องอยู่ข้างเรา ทุกวันนี้กระบวนการยุติธรรมสำหรับเหยื่อแชร์ลูกโซ่ ค่อนข้างล่าช้าทำให้เหยื่อแชร์ลูกโซ่ เกิดความรู้สึกท้อและเหนื่อยกับการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับท้าวแชร์ เพราะแจ้งความไปก็ยังไม่ได้เงินคืน ยกตัวอย่างแชร์แม่ชม้อยอันลือลั่น สร้างความเสียหาย ประมาณ 4,500 ล้านบาท แต่แม่ชม้อย กลับได้รับโทษจำคุก ไม่เกิน 20 ปี ตามกฎหมายที่กำหนดโทษการจำคุกสูงสุดไว้เพียงเท่านั้น ในขณะที่ผู้เสียหายต้องใช้ระยะเวลานานในการติดตามทรัพย์สินของตนเองกลับคืนมา เช่น คดีแชร์แม่นกแก้วซึ่งหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุน รายละ 180,000 บาท แต่ผู้เสียหาย จะต้องใช้ระยะเวลาถึง 30 ปี ที่จะได้รับเงินคืนกลับมาเพียง 3,000 บาทเศษ นั่นคือความไม่เป็นธรรมของกฎหมายที่ผลักภาระให้กับผู้เสียหายมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดภาวะ เหยื่อหลอกเหยื่อกันเอง เพราะหากอาศัยกลไกด้านกฎหมายแล้วไม่ได้เงินคืนแน่ สู้หลอกคนอื่นให้ได้เงินคืนมาเร็วๆดีกว่า
ทุกวันนี้หากแจ้งความดำเนินคดีแล้วได้รับเงินคืนทันที แล้วรัฐก็ไปไล่เก็บเงินกับท้าวแชร์ ยึดอายัดทรัพย์จนไม่ให้เหลือเงินสักบาท ถ้าทำได้เป็นแบบนี้ ปัญหาแชร์ลูกโซ่จะเบาบางลงไป แต่ทุกวันนี้ ท้าว แชร์ในประเทศไทยยังกินหรูอยู่สบาย หลอกซ้ำหลอกซ้อน เมื่อแชร์จะล่ม ยังประกาศอีกว่า ถ้าไปแจ้งความดำเนินคดี แล้วจะไม่คืนเงินให้ เหยื่อก็ยังเชื่ออีก เพราะเหตุนี้จึงต้องให้ประชาชนตกผลึกทางความคิด เพราะถ้ากฎหมายเป็นอย่างปัจจุบันนี้แก้ปัญหาไม่ได้แน่ ต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่โดยเฉพาะ ต้องมีมาตรการคุมเข้ม ไม่ใช่โกงปล่อยให้โกงไปเรื่อยๆจนเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะหน่วยงานภาครัฐทำงานไม่ทัน ผมพูดอยู่เสมอว่า อย่าปล่อยให้แชร์ลูกโซ่ในแต่ละวงอยู่ยาว ถ้าเจอต้องรีบจับ มิฉะนั้น ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับคนนับพันนับหมื่นคน
การทำงานต่อต้านแชร์ลูกโซ่ และการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ทำให้เราต้องไปพัวพันคดีความ ถูกข่มขู่ คุกความ ถูกใส่ความให้ร้ายและกลั่นแกล้งสารพัดจนได้รับความเดือดร้อน และเกิดความท้อแท้ถึงขนาดว่า ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆแล้วเมื่อได้ตั้งสติ ผมก็บอกกับตัวเองว่า แม้แต่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้บําเพ็ญเพียรเป็นแสนกัลป์ ยังมีคนอิจฉาริษยา หรือแม้กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงคุณอันประเสริฐก็ยังมีคนต่อต้านพระองค์ท่าน นับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างเรา สิ่งที่สำคัญที่สุด คือไม่มีใครรู้ใจตัวเราเท่ากับตัวเราเอง มีศีล สมาธิ ปัญญา ยึดมั่นและเดินหน้าไปในวิถีทางทางถูกต้อง ย่อมดีเสมอ
นับเป็นความโชคดีอีกประการหนึ่งที่ คุณพ่อบุญธรรมของผม คือ ท่านสหัส พุกกะมาน อดีตที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง เป็นแบบอย่างในการครองตน ครองคน และครองงาน โดนท่านถวายงาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรตั้งแต่ พ.ศ.2494 นับเป็นผู้ถวายงานรุ่นสุดท้ายที่ยังชีวิตอยู่ ท่านสอนให้ยึดมั่นในความดีและความถูกต้อง โดยเปรียบเทียบให้ฟังว่า หากเราเป็นผ้าขาว เมื่อเขาเอาสีมาสาดมันอาจจะดำด่างเพียงชั่วคราว แต่เมื่อซักน้ำแล้วมันก็จะกลับมาขาวดังเดิม
นอกจากคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือ เป็นสิ่งที่ผมน้อมนำมายึดเหนี่ยวจิตใจในการทำงานแล้ว ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมนำติดตัวตลอดเวลา นั่นคือ พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผมเป็นลูกศิษย์สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยวัตรปฏิบัติหรือปฏิทาของพระองค์ ดำเนินไปด้วยความ “สมถะ-เรียบง่าย” ท่านทรงเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อครั้งที่ผมบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่วัดวัดราชบพิธฯและประทานฉายา "ธรรมจิตโต" ซึ่งแปลว่า ผู้มีธรรมะในจิตใจให้กับผม ครั้นเมื่อถึงเวลาลาสิกขาบท พระองค์ยังประทานพรให้ผมเป็นผู้นำประเทศอีกด้วย ซึ่งในเวลานั้นผมยังไม่คิดที่จะลงสนามการเมืองด้วยซ้ำไป ยังความปลาบปลื้มใจจนตราบเท่าทุกวันนี้
ผมมีเหรียญที่ระลึกในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 โดยท่านสหัส พุกกะมาน อดีตที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง (คุณพ่อบุญธรรม) ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งผมอัญเชิญไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลคู่กายตลอดเวลา ทั้งยังเตือนสติว่า พระองค์ทรงเสียสละเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง พระองค์เป็นยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ ทรงเป็นพ่อของคนไทยทุกคน ตลอดพระชนมายุของพระองค์มีแต่ให้ เมื่อเราเหนื่อย เราท้อ ก็กลับไปมองพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่าน ทั้ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เราเกิดกำลังใจ และมีกำลังกายในการทำงานเพื่อคนอื่นต่อไป
นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเมตตาให้พระเครื่องที่ทรงคุณค่าทางจิตใจ เช่น พระสมเด็จจิตรลดา และ หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ที่ผมอาราธนาไว้ติดตัวตลอดเวลา เพื่อเตือนสติให้ดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรม เป็นพุทธมากะที่ดี ลดความเห็นแก่ตัว บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมมั่นใจว่าความมุ่งมั่นในการทำความดีจะเป็นเกราะป้องกันภยันตรายทั้งปวง และเป็นพลังดึงดูดสิ่งที่เป็นสิริมงคลให้กับตนเอง












