หวนกลับมายังดินแดน “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “อุษาคเนย์” เราอีกครั้ง หลังเคยแผ่อิทธิพลมาถึงเมื่อยุค “สงครามเย็น” ครั้งที่ยังเป็น “สหภาพโซเวียตรัสเซีย”แต่เก่าก่อน
สำหรับ “สหพันธรัฐรัสเซีย” หรือ “รัสเซีย” ยุคปัจจุบัน ภายใต้การนำของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ที่นั่งครองเมืองต่อเนื่องยาวนานอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ณ เวลานี้
โดยการมาของรัสเซีย หรือเจ้าของฉายา “พญาหมี” สำหรับ การรุกเข้าดินแดนอุษาคเนย์ ได้ปรากฏโฉม เริ่มจากผ่านช่องทางชาติ “สหายเก่า” อย่าง “เวียดนาม”
ด้วยความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านอุดมการณ์ทางการเมืองสังคมนิยม ซึ่งเวียดนามถูกยกให้เป็น “คอมมิวนิสต์สายสหภาพโซเวียตรัสเซีย” หรือ “ลัทธิมาร์ก-เลนิน” คู่แข่ง “คอมมิวนิสต์สายจีนแผ่นดินใหญ่” หรือ “ลัทธิเหมา”
นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ทางการทหาร ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยจากรัสเซีย การฝึกซ้อมรบร่วมกับรัสเซีย จนบรรยากาศความสัมพันธ์เป็นไปอย่างแนบแน่น ถึงขนาดที่ทางการเวียดนาม ไฟเขียวให้รัสเซีย มาใช้ประโยชน์จากฐานทัพเรือเมืองกามซัญ ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งตอนกลางของประเทศ ใน จ.คั้ญฮหว่า
ก่อนตามมาด้วยปฏิบัติการรุกขยายอิทธิพลไปในประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจชาติคู่แข่งสำคัญอย่าง “ฟิลิปปินส์” ถิ่นตากาล็อก โดยเฉพาะในยุคผู้นำฟิลิปปินส์อย่าง “ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต” ถึงขนาดที่ประธานาธิบดีฝีปากกล้าแห่งแดนตากาล็อก ข้ามน้ำข้ามทะเล เดินทางไปเข้าพบประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ถึงกรุงมอสโก กันเลยทีเดียว
ท่ามกลางบรรยากาศความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชื่นมื่น สมประโยชน์ที่รัสเซียต้องการขยายอิทธิพล ขณะที่ ทางฟิลิปปินส์ ต้องการได้ชาติมหาอำนาจมาช่วยกันคานอิทธิพลของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่กำลังรุกขยายในทะเลจีนใต้อย่างขนานใหญ่ เช่นเดียวกับ “เวียดนาม” ที่ต้องการใช้รัสเซียมาคานอำนาจจีนในน่านน้ำเจ้าปัญหา คือ ทะเลจีนใต้ เช่นเดียวกัน
พร้อมกันนี้ ทางพญาหมีรัสเซีย ก็เปิดพื้นที่เพื่อรุกคืบไปยังดินแดนที่ได้ชื่อว่า “ดาบส หรือฤาษี แห่งอุษาคเนย์” นั่นคือ “เมียนมา” นั่นเอง
โดยรัสเซีย เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์กับเมียนมาตั้งแต่ปี 2008 (พ.ศ. 2551) ก่อนที่ในเวลาต่อมาทั้งรัสเซีย สมัย “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน” กับเมียนมา ที่มี “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย” เรืองอำนาจ ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพเมียนมา หรือตั๊ดมาดอว์ ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการทหารอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปี 2016 (พ.ศ. 2559)
ผลของการลงนาม ก็ช่วยกรุยทางให้รัสเซีย ขยายอิทธิพลทางการทหารมายังเมียนมาเป็นประการต่างๆ ทั้งการจำหน่ายจ่ายแจกอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ทางเมียนมา ซึ่งทางบรรดาขุนศึกนายกองของเมียนมา อาวุธจากรัสเซียนั้น ทรงประสิทธิภาพเหลือหลาย แตกต่างจากอาวุธที่มาจากแดนมังกร จีนแผ่นดินใหญ่
โดยการมาของพญาหมีรัสเซีย ในถิ่นพระฤาษีของอุษาคเนย์แห่งนี้ ก็สมประโยชน์ไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเมียนมา ที่ต้องการได้ชาติมหาอำนาจอีกประเทศมาช่วยคานอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งปรากฏว่า หลายครั้งหลายหนที่จีนแผ่นดินใหญ่ ให้ความสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่น ในการสู้รบกับกองทัพเมียนมา หรือตั๊ดมาดอว์ รวมถึงการได้ชาติมหาอำนาจมาช่วยเหลือเมียนมาในเวทีโลก ดังที่ปรากฏว่า ในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี หลายครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ ทางรัสเซีย ก็ต้องการจะได้ใช้ประโยชน์จากบรรดาเมืองท่าในเมียนมา รวมถึงด้านพลังงงาน ที่ “กาซพรอม” วิสาหกิจยักษ์ใหญ่ ด้านพลังงานของรัสเซีย พร้อมที่จะรุกคืบทางธุรกิจพลังงานในประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ แข่งขันทางอิทธิพลกับจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าหน้าเสื่อที่ปรากฏทั่วไปในสายตาชาวโลก สองชาติมหาอำนาจคู่นี้ จะเป็นพันธมิตรคู่สำคัญกันก็ตาม
ล่าสุด พญาหมีรัสเซีย ก็รุกเข้ามายังดินแดนล้านช้าง คือ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” หรือ “สปป.ลาว”
โดยเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกกระตุ้นรื้อฟื้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัสเซีย ครั้งสมัยสหภาพโซเวียตรัสเซีย เป็นผู้ค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ให้แก่สปป.ลาว นับตั้งแต่ปี 1975 (พ.ศ. 2518) ก่อนที่จะถูกพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ เบียดแซงในเวลาต่อมา
ทว่า ถึง ณ เวลานี้ พญาหมีรัสเซียได้เข้ามาแดนดินถิ่นล้างช้างอีกครั้ง โดยมาคราวนี้จะช่วยดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หรือกับดักระเบิด ในพื้นที่ จ.เชียงขวาง ซึ่งปฏิบัติการได้เริ่มไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หรือกับดักระเบิด ในพื้นที่กว่า 3,000 ไร่
นอกจากนี้ พญาหมีรัสเซียก็จะช่วยสปป.ลาว สร้างสนามบิน หรือท่าอากาศยาน เพื่อใช้ประโยชน์ทั้งทางทหารและพลเรือน
ใช่แต่เท่านั้น รัสเซีย ก็ยังจะช่วยด้านการทหารเป็นประการต่างๆ ต่อสปป.ลาวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมในการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซียให้แก่ทหารสปป.ลาว ตลอดจนจะถ่ายทอดด้านเทคนิคทางทหารบางประการให้แก่กองทัพสปป.ลาวอีกต่างหากด้วย
บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า นอกจากสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือ เหล่าชาติอุษาคเนย์ ได้ชาติพี่เบิ้มมาคานอำนาจระหว่างกันแล้ว และรัสเซีย ก็ได้ขยายอิทธิพลมายังดินแดนแห่งนี้แล้ว ทางการมอสโกก็ยังเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ ในการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากการถูกมหาอำนาจตะวันตกแซงก์ชัน ที่พญาหมีรัสเซียได้รับบทเรียนกันมาแล้วก่อนหน้า