เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ว่า ตนย้ำมาโดยตลอดว่าวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ป้องกันโรค แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชนทั้งประเทศ 67 ล้านคน ซึ่งมีความจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนทางเลือกต่างๆ มาอย่างรวดเร็วและครอบคลุมประชากรให้ได้มากที่สุด และดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายตัวไปในวงกว้างและป้องกันไม่ให้ผู้ที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงถึงแก่ชีวิต เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิต ทำมาค้าขาย ปฏิบัติหน้าที่ประกอบสัมมาอาชีพ ได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติ “ปัญหาปากท้อง และความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการระบาดระลอกที่ 3 ที่ประชาชนกำลังประสบอยู่ในทุกวันนี้ คือ วิบากของการไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน คือความเสียหายจากการจัดหาและจัดฉีดวัคซีนอย่างล่าช้า ซึ่งรัฐบาลต้องยอมรับความผิดของตนเองได้แล้ว ไม่ใช่ออกมาโต้ ออกมาเถียง ถ้าเถียงแบบนี้ แก้ปัญหาไม่ได้ ระบบสาธารณสุขจะล้มเหลว เศรษฐกิจประเทศจะพังหนักกว่าเดิม” โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าว นายวิโรจน์ กล่าวว่า ที่รัฐบาลยังคงออกมาโต้เถียงประชาชนทั้งหมด ผมขออนุญาตชี้แจง ให้ทุกๆ คนเข้าใจในอีกมุมมองหนึ่ง ประเด็นแรกกรณีที่เอกชนไม่สามารถซื้อวัคซีนทางเลือกอื่นๆ มาฉีดให้กับประชาชน เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจุบันผู้ผลิตวัคซีนแทบทุกรายต้องการจะติดต่อขายวัคซีนกับรัฐบาลเท่านั้น เอกชนรายใดต้องการสั่งซื้อวัคซีน จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาลก่อน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยคิดที่จะจัดซื้อวัคซีนทางเลือกอื่นเลยเข้าใจว่าจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ไปแล้ว รัฐบาลก็ยังไม่ได้มีความชัดเจนในการจัดซื้อ สิ่งที่รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะทำต่อไป ก็คือ การกระจุกความเสี่ยงไปที่การจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาที่วันนี้ ซึ่งข้อสังเกตที่น่ากังวลก็คือ วัคซีนแอสตราเซเนกานั้นมีประสิทธิภาพไม่สูงนักกับเชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษ ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลอ้างว่า ไม่ได้ปิดกั้นการขึ้นทะเบียน และการนำเข้าวัคซีนทางเลือกอื่น ก็ต้องตั้งคำถามว่า ในเมื่อรัฐบาลไม่มีนโยบายสั่งซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่น ไม่มีนโยบายในการรับรองให้เอกชนไปจัดซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่น แล้วผู้ผลิตวัคซีนยี่ห้ออื่น จะมีแรงจูงใจอะไรมาขึ้นทะเบียน อย. และถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ ในการเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามาช่วยบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้ประเทศต้องกระจุกความเสี่ยง รัฐบาลก็ควรมีกระบวนการในการรับรองให้กับเอกชนไปดำเนินการจัดซื้อวัคซีน หรือไม่ก็ไปจัดซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่นมาจำหน่ายต่อให้กับเอกชน ไม่ใช่ใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นสุญญากาศ ทำงานตามระบบธุรการราชการไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย แล้วก็อ้างลอยๆ มาตลอดว่า ไม่ได้ปิดกั้นๆๆๆๆ จนเกิดกระแสประณามต่อว่า จากประชาชนอย่างหนาหูอย่างที่เป็นอยู่ “ วิโรจน์ กล่าว นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลได้ออกมาสารภาพเชิงพฤติกรรม โดยนายกฯ ได้มอบหมายให้มีการตั้งคณะทำงานในการจัดหาวัคซีนทางเลือก จำนวน 10 ล้านโดส โดยมีสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เข้ามาร่วมทำงานด้วย โดยตั้งเป้าให้มีความชัดเจนภายใน 1 เดือน แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้พูดสารภาพผิดออกมาเป็นคำพูด แต่การตัดสินใจในวันนี้ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลได้ยอมรับความบกพร่องของตนเอง ทำไมต้องให้ด่า ทำไมต้องให้ประชาชนต่อว่าถึงจะคิดได้ ตนคิดว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ต้องเปิดใจให้กว้างกว่านี้ ถ้ามีสติปัญญาที่จำกัด ก็ต้องรับฟังให้มาก ไม่ใช่หัวรั้นใจแคบ และบังคับให้ข้าราชการออกมาเถียง ออกมาแถ ท่ามกลางระบบสาธารณสุข และเศรษฐกิจที่พังทลายลงไปเรื่อยๆ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประเด็นที่สอง ที่มีการกล่าวอ้างกันว่า ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยที่จะจองวัคซีน ซึ่งข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยที่จะจองวัคซีน แล้วเราร่ำรวยพอที่จะยอมให้เกิดความเสียหายจากการฉีดวัคซีนล่าช้า ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือนหรือไม่ เราจะใจดำปล่อยให้ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย คนหาเช้ากินค่ำ แบกรับความเสียหายขนาดนี้ได้จริงๆ หรือ ตนว่าเลิกอ้างได้แล้ว รัฐบาลควรกระจายความเสี่ยง และเร่งจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ มาได้แล้ว แต่เดิมก็อ้างว่าการจองวัคซีนนั้นติดขัดที่ข้อกฎหมาย พอถูกแย้งว่า ก็ขอสภา ออก พ.ร.บ. ได้ หรือจะใช้อำนาจบริหารออก พ.ร.ก. ก็ได้ หรือถ้าอับจนหนทางจริงๆ จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ได้ พอหมดข้ออ้าง ก็มาอ้างเรื่องงบประมาณอีก คงไม่มีอะไรที่จะแย่ไปกว่าความเสียหายมูลค่า 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน ที่ประชาชนต้องแบกรับอีกแล้ว นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย หลังจากเมื่อวันที่ 8 เม.ย. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้แถลงว่าประชาชนกลุ่มเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ได้ฟรี ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน หากตรวจแล้วพบว่าติดเชื้อ โรงพยาบาลจะต้องรับเข้ารักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยให้ส่งเบิกกับทาง สปสช. ตามอัตราที่กำหนด แต่เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ก็มีข่าวว่าโรงพยาบาลเอกชนนับสิบรายงดตรวจโควิด และยังมีโรงพยาบาลเอกชนอีกหลายแห่งทยอยประกาศงดตรวจ โดยอ้างว่าน้ำยาตรวจหมด ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันก่อน นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เพิ่งออกมายืนยันว่ามีน้ำยาตรวจเพียงพอ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะโรงพยาบาลเอกชน ไม่อยากจะรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ในกรณีที่ตรวจพบว่าติดโควิด-19 เนื่องจากเคลมค่ารักษาพยาบาลจาก สปสช. ได้ไม่มากนัก ข่าวในทำนองนี้ ยิ่งทำให้สถานการณ์การระบาดระลอกที่ 3 ที่กระจายไปในวงกว้างที่แย่พออยู่แล้ว ยังทำให้ประชาชนมีความตึงเครียด และกังวลเพิ่มมากขึ้น นายวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในกรณีดังกล่าวนี้ กระทรวงสาธารณสุข ควรจะเร่งออกประกาศกระทรวงให้โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ปันส่วนจำนวนเตียงในสัดส่วนหนึ่ง เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษา โดยอาจกำหนดให้เป็นเงื่อนไขชั่วคราวในการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีจำนวนเตียงที่มากพอที่จะดูแลประชาชนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะสามารถคลายความตื่นตระหนกของประชาชนลงได้ สุดท้ายตนอยากจะบอกกับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ก็คือ ชีวิต และปากท้องของประชาชน 67 ล้านคน นั้นสำคัญกว่าหน้าตาของพวกคุณมาก ดังนั้นอย่าห่วงหน้าตาตัวเองให้มากนัก เอาเวลาที่จะเถียง มารับฟัง ยอมรับในความบกพร่อง แล้วเร่งแก้ไขจะดีกว่า