“แม้ผมจะเริ่มสร้างบ้านให้ป๊ากับแม่ได้ แต่ว่าเราก็ไม่พอใจ เพราะเรารู้สึกว่า บ้านหลังเดียวไม่ได้ทดแทนบุญคุณที่เขาเลี้ยงเรามาได้ แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเอง แค่ยังไม่รู้สึกว่าเราพอใจแล้ว เราอยากจะไปข้างหน้าเรื่อยๆ อยากจะขึ้นไปให้สูงกว่านี้เรื่อยๆ” นักแสดงหนุ่มสุดฮอต “ต่อ” ธนภพ ลีรัตนขจร ที่ผลงานสุดประทับใจของเขาเพิ่งลาจอไป ทั้งจากบทบาทของ “พี่ยิม” ใน“SidebySideพี่น้องลูกขนไก่” Project S The Series จากค่ายจีทีเอชกับนาดาวบางกอก และบทบาท “ผู้หมวดอาคม”ใน “เล่ห์ลับสลับร่าง”ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ID-Talk จะพาไปเก็บตกหลังพลิกบทบาทเป็นเด็กออทิสติก และจุดเปลี่ยนชีวิตจากสายสีดำ จนมาเป็นทุกวันนี้ …................... -มีเสียงชื่นชมการสวมบทบาทเป็นยิมมาก มีอะไรในตัวยิมที่เราประทับใจและมีส่วนไหนคล้ายตัวเราบ้าง ส่วนคล้ายไม่มีเลยสักนิด ผมไม่ได้สร้างตัวละครจากตัวผม เป็นครั้งแรกที่เราลองทฤษฎีแบบใหม่ กับโปรเจ็กต์นี้ เราไม่สร้างคาแรกเตอร์จากตัวเองเลย เราปั้นตัวละครใหม่ขึ้นมาโดยที่ไม่มีตัวเราผสมอยู่ ไม่มีอะไรที่เหมือนกับตัวเราเลย -ในขณะที่เราพัฒนาไปพร้อมกับตัวละคร ความคิดและมุมมองเรามีต่อเด็กออทิสติกเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร จริงๆเปลี่ยนตั้งแต่ระหว่างถ่ายทำ ตอนแรกเราไม่ได้มีกำแพงกับเด็กเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้อินขนาดนี้ คือเราถึงจุดที่ไปหาข้อมูลเรียนรู้สังคมเขา ความจริงพวกเขามีความเก็บกดในระดับหนึ่ง ในสิ่งที่เขาโดนกระทำจากสังคม มันก็เลยเป็นเชื้อเพลิงที่เราอยากจะทำให้มันดีจริงๆ เราอยากเล่าต่อ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้ หรือกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้อยู่ เราขาดความเข้าใจกันมากจริงๆ ว่า ภาวะออทิสซึม ในเด็กคนหนึ่ง มันเกิดจากอะไร หรือรู้หรือเปล่าว่า ออทิสซึมไม่ใช่เอ๋อ เรายิ่งอยากเล่า พอเราทำตัวละครตัวนี้ขึ้นมา บทมันดี บทน่ารัก เราก็ยิ่งอยากทำให้มันสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ -การแสดงออกระหว่างเด็กออทิสซึม กับเด็กปกติเวลาเผชิญปัญหา แตกต่างกัน ต่างกัน เพราะว่าคนปกติ เขาจะมีภาวะที่สมองเติบโตเท่าอายุ แต่ออทิสติก สมองจะเติบโตไม่เท่าอายุ การประเมินหรือการคิด จะไม่เท่ากับคนปกติ ผมรู้สึกว่าในสิ่งที่พวกเขาเป็น มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง เช่น สมมติว่าคนปกติ เรารู้สึกเก็บกดเราเลือกที่จะเก็บไว้ในใจได้ แต่เด็กเหล่านี้อาจจะไม่สามารถเก็บไว้ในใจได้ เพราะไม่ได้มีภูมิต้านทานขนาดนั้น อาจจะแสดงออกมาในแบบที่ค่อนข้างเด็ก ทั้งที่เขาอาจจะตัวโตแล้ว แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันดี คือ เขาไม่โกหก หรือไม่ FAKE ซึ่งจริงๆแล้ว มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม มีมุมที่เราเฟคใส่กันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่เด็กเหล่านี้เขาจะไม่เฟคใส่คุณ นี่คือข้อแตกต่าง บางคนรู้สึกว่าการที่เด็กเหล่านี้ใช้วิธีระเบิดอารมย์ออกมา ก็ตัดสินว่าเขารุนแรงจังเลย แต่ยังไม่ทันมองย้อนกลับไปถึงปัญหาที่ว่าเราทำอะไร เขาถึงเก็บกดขนาดนี้ เป็นเรื่องความเข้าใจล้วนๆ ผมว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าเราอยากให้เขามีพื้นที่ ในสังคม เราต้องเข้าใจเขา เราอย่าหวังให้เขาเข้าใจเรา สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องเข้าใจ ต้องช่วยกัน -ต่อเคยผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาแล้ว อะไรคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเราที่ทำให้ไม่เลือกเดินทางผิด เรามองว่า ชีวิตมันไม่ใช่เกม การมีชีวิตอยู่ มันไม่เหมือนกับการที่เราเล่นเกม ที่เมื่อตายแล้วเรารีสตาร์ตใหม่ได้ หรือมีชีวิตที่ 2 ขึ้นมาเล่นต่อ ชีวิตคนเราถ้าทำอะไรลงไปแล้ว ต่อให้เราอยากกลับไปแก้ไขแค่ไหนก็ทำไม่ได้ จุดเปลี่ยนของเราคือเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่ดีเกิดขึ้น เช่น รถมอเตอร์ไซค์คว่ำที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด มันมีผลกระทบมาก บวกกับเป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มมีวุฒิภาวะมากขึ้น ความคิดเราเปลี่ยนไป มันอยู่ในจุดที่เราเริ่มรู้สึกอิ่มตัว อยากเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเหมือนกัน แม้ว่าสิ่งที่เคยทำในตอนนั้น มันจะสนุก และรู้สึกHAPPY มากๆในการใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย แต่พอเราเริ่มมองไม่เห็นอนาคต ว่าโตขึ้นไปจะเป็นอย่างไร เริ่มสงสัยตัวเองว่า สิ่งที่เราทำไปวันนี้ ทำไปแล้วได้อะไร มันเลยทำให้เราTWISTตัวเองกลับมา ลองเข้าเส้นทางธรรม ลองบวชและคัมแบ็กกลับมาทำสิ่งดีๆ ดูสิว่าเราทำได้ไหม ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้มั่นใจนะว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองได้ แต่มันเปลี่ยนได้ หลังจากนั้นก็เลยเป็นคนไม่เชื่อว่า คนเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เวลาใครที่หลงผิดแล้วมาปรึกษาเรา เราจะบอกเสมอว่า ห้ามคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วเราเชื่อว่าทุกคนทำได้ -หลังจากเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว มีให้คำปรึกษาคนอื่นด้วย ก็มีทั้งเพื่อนๆ รุ่นน้อง คนใกล้ตัว มาปรึกษาเราได้คุยกันเรื่อยๆ เพราะเรารู้สึกว่า การที่คนๆหนึ่งอยากจะ เปลี่ยนแปลงตนเอง เขาต้องการกำลังใจเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ที่คนเริ่มจากสายสีดำมาก่อน คนจะรู้สึกไม่อยากให้กำลังใจเด็กเหล่านี้ เพราะฉนั้นผมเลยรู้สึกว่า ก็ไม่ผิดที่คิดแบบนั้น แค่ไม่ถูกต้อง เพราะคุณกำลังจะทำให้เด็กที่เป็นสีดำ ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นสีขาวได้ ถ้าคุณไปกดเขาไว้หรือไปตัดสินว่า เปลี่ยนไม่ได้หรอก ฉันไม่เชื่ออย่างนี้ หลายๆอย่าง ผมว่ามันก็ย้อมตัวเด็กไปเรื่อยๆ -เชื่อหรือไม่ว่าคนจะประสบความสำเร็จจากคำสบประมาท สิ่งที่มันประหลาดก็คือ ไม่ว่าผมจะอ่านประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่คนเหล่านั้น ล้วนโดนคำพูดที่ทำลายน้ำใจมากๆมาก่อน ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคือแรงผลักดันหรือแรงขับเคลื่อนอะไรที่ทำให้มันมีแรงเหล่านี้ออกมา แต่ว่า เท่าที่เราศึกษาหรืออ่านเจอ มันเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะต้องเคยเลวมาก่อน แต่เท่าที่เรารู้ เราเห็นว่าคนที่เขาเคยเลวมาแล้ว ถ้ากลับตัวได้เขาก็มักจะประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ ผมรู้สึกว่าสังคมยุคนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว สังคมค่อนข้างใจกว้าง หลายๆครั้งที่เราไม่ว่าจะเสพข่าวอะไรก็ตาม คนเราทุกคนยังมีคำว่า “อภัย” ให้กัน มันไม่มีใครขาวสะอาดนะครับ มนุษย์เราทุกคน เพราะฉะนั้น คนเรามันก้าวพลาดกันได้ แต่มันอยู่ที่ว่า พวกคุณจะเหยียบซ้ำหรือเปล่า สิ่งที่ดีที่สุดคือ เราเห็นคนล้มแล้วอย่าข้าม ให้โอกาสเขา ให้เขาลุกขึ้นมา แค่นั้นเขาจะก้าวต่อไปได้ และจะโตขึ้นด้วย -ชีวิตการงาน และครอบครัว ที่วันนี้ซื้อบ้านให้พ่อแม่ได้ รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เราทำอยู่หรือยัง ยังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็น PART การทำงาน พูดตรงๆว่า เรายังไม่ยอมรับในฝีมือที่เราทำออกมา รู้สึกว่าเรายังอยากทำไห้ดีกว่านี้ ยังอยากพัฒนามากกว่านี้ ยังไม่อยากให้สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าคือจุดที่สูงสุดของเรา เพราะเรารู้สึกว่ายังไม่ใช่จุดสูงสุด แต่นี่คือสิ่งที่เราทำ แล้วมันดันใหม่ พวกคุณเลยชม จริงๆแล้ว ผมมองนะว่าบทนี้ (พี่ยิม) ใครๆก็เล่นได้นะ เอาจริงๆไม่ได้รู้สึกว่าเราเก่งขนาดนั้น เรารู้ ยังไม่ใช่ความพอใจของเรา แต่ถ้าถามว่าพอใจกับผลงานที่ทำออกมาไหม ใช่ พอใจมากในผลงานที่ออกมา กับการที่เราเต็มที่ระดับนี้ของเรา แล้วมันมีกระแสตอบรับออกมาประมาณนี้ เราก็ดีใจ หรือใน PART ครอบครัว แม้ผมจะเริ่มสร้างบ้านให้ป๊ากับแม่ได้ แต่ว่าเราก็ไม่พอใจ เพราะเรารู้สึกว่า บ้านหลังเดียวไม่ได้ทดแทนบุญคุณที่เขาเลี้ยงเรามาได้ แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเอง แค่ยังไม่รู้สึกว่าเราพอใจแล้ว เราอยากจะไปข้างหน้าเรื่อยๆ อยากจะขึ้นไปให้สูงกว่านี้เรื่อยๆ -ต่อมีความคิดที่เป็นระบบ แบ่งสัดส่วนเรื่องงาน กับเรื่องส่วนตัวชัดเจน ผมรู้สึกว่ามันต้องแยก มันเหมือนกับเวลาคนทั่วไป ถ้าเป็นคนทำงาน อยู่ๆตื่นเช้ามาทะเลาะกับภรรยา หรือทะเลาะกับแฟนรุนแรงมาก พอไปที่ทำงานปั๊บ ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงาน ผมถามคำเดียวว่าเจ้านายเขามารับรู้กับคุณไหม ว่าคุณทะเลาะกับแฟนมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเลือกที่จะแยกออกทั้งหมด เพราะเราจะปล่อยให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งพังไม่ได้ การที่เรามีความสุขกับงานอย่างนี้ ถ้าเราอยู่ในหน้าที่ที่เราจะต้องทำงาน จะเอาอารมย์ส่วนตัวมาปะปนไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ เรามีหน้าที่ของเราก็ทำให้ดีที่สุด คนอื่นไม่ได้พร้อมรับข้อแม้หรือเงื่อนไขของเราขนาดนั้น เขาไม่ได้อยากรับรู้ว่าอะไรที่ทำให้เราไม่พร้อม เพราะสิ่งที่เขาเลือกเรามาทำงาน เพราะเขาคิดว่าเราพร้อม ด้านชีวิตส่วนตัวผมคือชีวิตส่วนตัว ผมมั่นใจว่าผมมีชีวิตส่วนตัวจริงๆ แม้จะเป็นคนสาธารณะ ที่มีชีวิตส่วนตัวไม่เท่ากับคนปกติ แต่อยากจะให้ทุกคนให้เกียรติในส่วนของชีวิตส่วนตัวกันมากกว่า เพราะคนปกติเองยังไม่ชอบให้คนที่ไม่รู้จัก มายุ่งเรื่องส่วนตัวเราขนาดนั้นเลย ฉันใด ก็ฉันนั้น มันคือการคิดถึงอกเขาอกเรา ทำให้เราชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่า ผมขออนุญาตแยกเรื่องส่วนตัว เลยHAPPYกับการทำงานมาก -อย่างนี้หรือเปล่าทำไห้เราเพิ่งมาเล่นIG ไม่นะ เรารู้สึกว่าได้เวลาแล้ว อยากมีของตัวเองแล้ว ผมเพิ่งเล่นคนตามไม่เยอะหรอก ไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง IG ไม่ได้บอกถึงชีวิตทั้งหมด หรือบอกว่าชื่อเสียงของเรามีแค่ไหน มันบอกไม่ได้ -อัพเดตผลงานหลังจากนี้จะได้เห็นต่อในบทบาทอะไรอีก ตอนนี้อยู่ระหว่างเตรียมงานของปีหน้าล้วนๆ ยังบอกไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย แต่ว่าน่าจะเป็น “เซอร์ไพรส์” ตอนนี้ขอส่งท้ายปีด้วย เล่ห์ลับสลับร้าง กับside by side ถ้าคุณคิดถึงกัน เรามาดูย้อนหลังกันดีกว่าหลังพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่อยากมีโปรเจ็กต์ออนแอร์แล้ว อยากให้รู้สึกว่าผมทำ 2 โปรเจ็กต์นี้ ส่งท้ายปีแล้วเราหมดปีไปด้วยกัน เดี๋ยวปีหน้าเรามาเริ่มกันใหม่ เรื่อง: จินตนา จันทร์ไพบูลย์ ภาพซ ขอบคุณ tor_gallerly