หลังจาก “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ย้ายโอนจาก ผบ.ทบ. ไปเป็นรองเลขาธิการในพระองค์ ก่อนจะเกษียณราชการ 1 วัน โดยมี “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ มาเป็น ผบ.ทบ.แทน กองทัพก็ดูเงียบสงบ จนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และกองทัพ ก็เริ่มสังเกตุได้ ด้วยบุคลิกลักษณะ ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่ไม่ค่อยพูด เงียบๆ และ เคร่งครัดในระเบียบวินัยอย่างมาก เพราะนอกจาก เป็น ผบ.ทบ.ที่เป็น ทหารคอแดง ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ มา 3 เดือน แล้ว ยังเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904(ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) อีกด้วย จึงยิ่งต้องระมัดระวังตัว เพราะเมื่อครั้ง พล.อ.อภิรัชต์ เป็น ผบ.ทบ.คอแดง คนแรก และเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.คนแรก นั้น ด้วยบุคลิกลักษณะ ที่เป็นนายทหารสายบู๊ และแสดงออกชัดเจนในทางการเมือง มาตั้งแต่ เป็น ผู้บังคับการกรม จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ มักออกมาเขย่าฝ่ายการเมือง เสมอๆ ด้วยการให้สัมภาษณ์ และ แอ็กชั่นต่างๆ ทั้งการตำหนิฝ่ายตรงข้ามว่า เป็น พวกซ้ายจัด ดัดจริต คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซ้ายตกขอบ และวาทะกรรม หนักแผ่นดิน และการจูงหมา มาเปรียบเทียบ กับพวกที่ไม่ทำประโยชน์ให้ชาติ จนทำให้ฝ่ายตรงข้าม เคลื่อนไหวในการโจมตี พล.อ.อภิรัชต์ และ กองทัพบก หนักขึ้น แต่ พล.อ.อภิรัชต์ ก็หาได้หวั่นไหว ไม่ เพราะชินกับการโดนโจมตี มายาวนาน ตั้งแต่ เป็น ผบ.ร.11 รอ. เรื่อยมา จนเป็น ผบ.ทบ. 2 ปี จนตอนนี้ ไปสวมชุดสีกากี เป็นรองราชเลขาธิการ แล้ว แต่ก็ยังถูกมองว่า มีเพาเวอร์ ในกองทัพ แต่ไม่ได้ออกมายืนแถวหน้า ทว่ามีบทบาท อยู่เบื้องหลัง ขณะที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เลือกที่จะเงียบ พูดน้อย นานๆพูดครั้ง และไม่ชอบพบเจอนักข่าว จนทำให้ยุคนี้ กลายเป็นยุคที่กองทัพเงียบเหงาที่สุด ยิ่งมาประกอบกับการที่ ผบ.เหล่าทัพคนอื่นๆ ก็ไม่พูด ชอบอยู่เงียบๆ เหมือนกัน กองทัพก็ยิ่งนิ่ง ทั้ง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม “บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด “บิ๊กอุ้ย” พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผบ.ทร. และ “บิ๊กแอร์” พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผบ.ทอ. ล้วนไม่ชอบให้สัมภาษณ์ หลบสื่อได้เป็นหลบ งานของผู้นำเหล่าทัพ ที่เคยให้นักข่าวไปทำงาน ก็กลายเป็น ไม่เชิญนักข่าว และไม่แจ้งกำหนดการ เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ไม่อยากเจอนักข่าว ไม่อยากต้องตอบคำถาม โดนเฉพาะที่เกี่ยวกับการเมือง เพราะอีกบทบาทหนึ่งของ ผบ.เหล่าทัพ คือ การเป็น สมาชิกวุฒิสภา โดยตำแหน่ง ทุกเหล่าทัพ จึงมีการตั้งทีมโฆษก แบบเป็นแผง โดยเฉพาะ ทบ. ที่มี “บิ๊กติ่ง” พล.ท.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ รองเสธ.ทบ. เพื่อนตท.22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่ตั้งทีมโฆษกหญิงอีก 6 คน เพิ่อหวังมาทำหน้าที่ด้านสื่อ แทน ผบ.ทบ. แต่ก็เป็นแค่การตั้งรับเท่านั้น เพราะเหตุที่ กองทัพถูกมองว่า เป็นฐานอำนาจของ พี่น้อง 3 ป. “ป้อม ป๊อก ประยุทธ์” และ รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เป็น รมว.กลาโหม จึงทำให้ตกเป็นเป้าในการถูกโจมตีอย่างหนัก ประกอบกับ กองทัพ เป็นผู้ให้กำเนิด พล.อ.ประยุทธ์ จาก ผบ.ทบ. ก่อรัฐประหาร แล้วมาเป็นนายกฯ จนทุกวันนี้ จึงเกิดการต่อต้าน กองทัพ มายาวนาน จนกองทัพกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ในอีกบทบาทหน้าที่ ของกองทัพ ที่ต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์ ท่ามกลาง การเกิดขึ้นและมากขึ้นของ ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ กองทัพ จึงเลือกการต่อสู้ ในทางลับ เช่น ปฏิบัติการ ไอโอ เสียมากกว่าที่ ผบ.เหล่าทัพ จะออกมาแลกหมัดเอง การที่ ผู้นำทหาร เงียบ นิ่ง ไม่พูด ไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ได้เป็นผลดีต่อสังคมไทย เพราะการเงียบ ไม่ได้แปลว่า ทหาร กองทัพกลับเข้ากรมกอง ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ใดๆ แล้ว แต่ยังมีความเคลื่อนไหว อยู่ภายใต้ความเงียบนั้น ตลอดเวลา แต่การที่ ผู้นำทหาร ไม่พูด ไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่แสดงทรรศนะ ความรู้สึก ความคิดเห็น จะทำให้สังคม ไม่รู้ว่า ทหารคิดเช่นไร และทำให้ไม่รู้อุณหภูมิในทางการเมือง จริงอยู่ กองทัพในยุคนี้ เป็น กองหนุน 3 ป. และ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่ในอีกทางหนึ่ง กองทัพ เริ่มมีการปรับเปลี่ยน โครงสร้าง และหน้าที่ หลังการเปลี่ยนรัชกาล โดยเฉพาะ ทบ. ที่หลายหน่วยสำคัญ เช่น ร.1รอ. และ ร.11 รอ. ย้ายโอนไปเป็นหน่วยราชการในพระองค์ ไปแล้ว ขณะที่ พล.1 รอ. ที่เคยเป็นขุมกำลังรัฐประหารของทบ. ก็กลายเป็น ทหารคอแดง ขึ้นกับ ฉก.ทม.รอ.904 จนทบ.ต้อง ดัน พล.ร.11 ฉะเชิงเทรา ขึ้นมาเป็น หน่วยกำลังหลัก ทดแทน พล.1รอ. ที่มีทั้งสถานภาพ ของ หน่วยขึ้นตรง กองทัพภาค1 แต่ก็เป็น หน่วย ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย แม้ ผบ.ทบ.จะเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย แต่ก็หาใช่จะตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับ พล.1รอ.ได้เอง กองทัพ จึงกำลังค่อยๆถูกปรับเปลี่ยน โดยเริ่มจาก ทบ.ก่อน และกำลังเคลื่อนไปที่ ทร. และ ทอ. ที่บางหน่วย จะต้อง เป็นทหารคอแดง เช่น หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.) ที่เป็นกำลังหลักบนบกของทร. ที่คนเป็น ผบ.นย.ต้องไปฝึก หลักสูตรทหารคอแดง 3 เดือน เช่นเดียวกับ ทอ. ที่ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ที่เป็นกำลังหลักทางบก ของทหารอากาศ ที่มีหน่วยรักษาพระองค์ ที่ ผบ.อย.ก็ต้องไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง ที่ตอนนี้ ทั้ง ผบ.นย. และ ผบ.อย. อยู่ระหว่างการฝึก หลักสูตรทหารคอแดง เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ บก.กองทัพไทย นั้น แม้จะไม่มีหน่วยทหารคอแดง แต่ทว่า ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.เฉลิมพล เป็นทหารคอแดง อยู่แล้ว และเป็นคนแรก ที้ได้มาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด จนทำให้ เกิดเทรดดิชั่นใหม่ ว่า ผบ.ทหารสูงสุด ต้องมาจากทหารคอแดง และมีการวางตัว นายทหารคอแดง ที่ข้ามจาก ทบ. มาอยู่ บก.ทัพไทย เพื่อเตรียมเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คนต่อไปแล้ว ในขณะที่กองทัพเงียบงัน แต่มีความเคลื่อนไหว ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง บทบาทหน้าที่ ในการสนองงานพระราชดำริ และพระบรมราโชบายต่างๆ กองทัพจากที่เคยถูกมองว่า เป็น ฐานอำนาจทางการเมือง ของรัฐบาล กำลังถูกแปรเปลี่ยน ให้เป็น กองทัพ ขององค์จอมทัพไทย ค่อยๆถอยห่างออกจากการเมือง มากขึ้นๆ ในด้านหนึ่ง นับได้ว่า เป็นการดี ในการลดบทบาททหารในทางการเมือง การปฏิวัติรัฐประหาร ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นแต่ก่อน เพาาะ ผบ.ทบ. ไม่ได้คุมกำลังปฏิวัติ หน่วยสำคัญ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อีกต่อไป แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ก็ต่อต้าน การเปลี่ยนผ่าน กองทัพ ด้วยเช่นกัน เพราะต้องการให้กองทัพเป็นของประชาชน ในสถานการณ์ เช่นนี้ ผู้นำทหาร จึงต้องอยู่ในความเงียบงัน และ ทำงานทั้งเป็นกลไกรัฐบาล และ เป็น ทหารของพระราชา ควบคู่กันไป ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ไม่มีอะไรแน่นอน แม้พลังของฝ่ายต่อต้าน กลุ่มม็อบต่างๆ จะอ่อนพลังลง และขาดแนวร่วมจากประชาชน เช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใคร หยั่งรู้ กาลในอนาคตของการเมือง และกองทัพไทย ว่าจะเดินไปสู่เส้นทางใหม่ หรือจะซ้ำรอยเดิม