คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ในขณะนี้จากการที่เกิดประเด็นในเรื่องเหยียดสีผิวและกระแสการต่อต้านชาวเอเชียที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกานั้น มองไปแล้วมิใช่เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย และเนื่องจากผมเองก็เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มากมายตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาจนกระทั่งเข้าไปยึดอาชีพนักการธนาคารทำมาหากินเลี้ยงชีพซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องตื่นเต้นในช่วง 40 ปีที่ผมอยู่ในสหรัฐฯและใคร่จะแบ่งปันเรื่องราวให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังเพียงสามเหตการณ์ เรื่องราวครั้งแรกได้เกิดขึ้นเมื่อปี 1968 เมื่อตอนที่ผมกำลังศึกษาอยู่ปีสอง ณ มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ นครลอสแอนเจลิส โดยช่วงนั้นผมยังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวขับไปเรียนแต่อย่างใด จึงต้องอาศัยรถโดยสารประจำทางไปมหาวิทยาลัยทุกๆวัน เช้าวันหนึ่งผมมีความจำเป็นจะต้องเดินทางต่อรถโดยสารอีกสายหนึ่งไปยังถนนเวอร์มอนต์ ตัดกับถนนเวอร์นอน ณ นครลอสแอนเจลิส และขณะที่กำลังยืนรอรถประจำทางปะปนกับผู้โดยสารคนอื่นๆอยู่นั้น ปรากฏว่ามีตำรวจในเครื่องแบบสองคนเดินตรงเข้ามาหาถามว่า คุณมาจากไหนและกำลังจะเดินทางไปไหน? และเมื่อผมอธิบายว่า กำลังจะเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ตำรวจทั้งสองนายจึงขอตรวจสอบบัตรนักศึกษา และครั้งนั้นหากสมมุติว่าผมมิได้นำบัตรนักศึกษาติดตัวไปด้วยละก็ เป็นที่แน่นอนว่าผมอาจจะถูกนำตัวไปที่ไหนก็มิรู้ได้เลย!!! ส่วนประสบการณ์ครั้งที่สองที่เกิดขึ้นกับผมนั้นค่อนข้างรุนแรงมากทีเดียว โดยเมื่อผมศึกษาจบในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ได้เข้าทำงานที่ธนาคาร Security Pacific National Bank ณ นครลอนแอนเจลิส ซึ่งเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับห้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีมากกว่า 600 สาขา และต่อมาในปี 1981 ผมก็ได้รับแต่งตั้งไปเป็นรองผู้จัดการประจำอยู่ที่สาขาที่มีที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัย USC ทางฟากตะวันตกหัวมุมถนนเวอร์นอนท์และถนนมาร์ติน ลูเธอร์คิงส์ อยู่มาวันหนึ่งผมได้เชิญลูกค้าคนไทยท่านหนึ่งชื่อ “คุณวิโรจน์ สุขสมนิล” ไปรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันที่ร้าน McDonald ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับธนาคาร และขณะที่ผมกำลังสั่งอาหารกับแคชเชียร์อยู่นั้น ปรากฏว่าผมถูกชกเข้าที่ใบหน้าอย่างเต็มแรงที่มาจากทิศทางไหนก็มิทราบได้จนเห็นดาวและผมก็ค่อยๆล้มทรุดหมดสติลงไปนอนกองอยู่กับพื้น และเมื่อผมฟื้นขึ้นมาปรากฏว่า ผมอยู่ที่โรงพยาบาลฟันหักหนึ่งซี่และคิ้วซ้ายแตกเย็บหลายสิบเข็ม!!! ผมได้ทราบต่อมาอีกด้วยว่า คุณวิโรจน์ลูกค้าของผมก็โดนทำร้ายด้วยการผลักอย่างแรงจนล้มทั้งยืนหัวฟาดฟื้นทำให้อาการของเขาสาหัสหนักยิ่งกว่าผมเสียอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นผู้จัดการธนาคารให้ผมฟ้องร้านอาหาร McDonald ที่ไม่ให้ความปลอดภัยเท่าที่ควร แต่ผมคิดว่าผมรอดชีวิตมาได้ก็แสนจะโชคดีมากแล้ว จึงอโหสิไม่ต้องการฟ้องร้องแต่อย่างใด อีกสี่ปีต่อมาผมถูกย้ายไปสาขาใหญ่และได้รับเลื่อนตำแหน่ง Assistant Vice President ณ นคร Inglewood ซึ่งนับว่าเป็นสาขาใหญ่ที่สุดทางซีกตะวันตก โดยวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ ปรากฏว่ามีลูกค้าคนอเมริกันผิวขาวท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาที่โต๊ะที่เป็นแท่นยกพื้น และส่งเสียงดังเกือบจะเป็นการตะโกนว่า “ต้องการจะพบกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในสำนักงานนี้” ผมก็ตอบไปอย่างทันทีทันควันเช่นกันว่า “ผมเองที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในสาขานี้ และมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้บ้าง” และเมื่อเขาได้รับฟังเช่นนั้นสายตาของเขาก็แสดงถึงความไม่เป็นมิตรออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมก็มิได้ถือสาเชิญให้เขานั่งลงและค่อยๆถามเขาว่า มีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้บ้าง สุดท้ายแล้วค้นพบว่า เขาไม่พอใจที่ต้องยืนรอคิวยาวนั่นเอง ผมก็เลยต้องเจรจาเอาน้ำเย็นเข้าลูบจนสถานการณ์อารมณ์ตึงเครียดของลูกค้าท่านนี้ค่อยๆสงบลงผ่านไปได้อย่างราบรื่น นี่แหละครับหน้าตาของชาวเอเชียในสายตาของอเมริกันชนบางคน มันช่างแสนจะมีอุปสรรคไม่น้อยเลยทีเดียว หากว่าเราพำนักอาศัยทำมาหากินอยู่ที่สหรัฐอเมริกา!!! สำหรับเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วทุกมุมโลก ซึ่งได้เกิดขึ้นกับ “คุณวิชา รัตนภักดี” อายุ 84 ปี ที่ท่านก็เคยยึดอาชีพทำงานในแวดวงธนาคารมาก่อนโดยท่านเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวและเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าของวันที่ 27 มกราคม 2021 ณ นครซานฟรานซิสโก และเมื่อมองจากภาพที่ปรากฏในวิดีโอแล้วจะเห็นได้ว่าคนร้ายกระโดดพุ่งตัวเข้าชนอย่างจัง เหมือนดั่งกับที่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลเข้าจู่โจมเพื่อแย่งชิงลูกบอลจากฝ่ายตรงข้าม จนคุณวิชาล้มลงศรีษะฟาดพื้นอย่างแรงและได้เสียชีวิตลงสองวันต่อมา และในอีกสองวันต่อมาผู้ต้องสงสัยที่มีชื่อว่า Antoine Watson อายุ 19 ปีก็ถูกจับกุม การเสียชีวิตของคุณวิชาเป็นผลให้ชาวเอเชียที่กอปรด้วย คนจีน คนญี่ปุ่น คนเกาหลีและชาวเอเซียทุกๆประเทศได้ผนึกตัวร่วมใจกันต่อต้านการเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้จากรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2021 ว่า นักวิจัยและกลุ่มผู้ต่อต้านการเหยียดสีผิวได้รวบรวมข้อมูลกรณีที่คนเอเชียหลายหมื่นคนต้องถูกกลั่นแกล้งเชื่อมโยงมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวแบบซ้ำๆซากๆว่าต้นตอของโรคโควิด19 มาจากประเทศจีนนั่นเอง!!! และจากการค้นคว้าของศูนย์วิจัยศึกษาในเรื่องการแอนตี้เกลียดชังที่คนอเมริกันมีต่อคนเอเชียของ California State University ณ เมือง San Bernardino ก็ได้เปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2021 นี้ว่า ระหว่างปี 2019 ถึงปี 2020 สถิติการเหยียดสีผิวลดน้อยลง แต่ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี2020เป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้กลับปรากฏว่า สถิติการแอนตี้ชาวเอเชียได้เพิ่มสูงมากขึ้นถึง 150% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหานครนิวยอร์ก และนครลอสแอนเจลิส ทั้งนี้จากการศึกษาของ California State University ล่าสุดนี้ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือผู้เริ่มต้นจุดประกายในการต่อต้าน สืบเนื่องมาจากเขาเคยใช้ประเด็นด้านการเหยียดและแอนตี้ชาวต่างด้าวมาเป็นอาวุธหาเสียงก่อนหน้าที่เขาจะได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาว เพราะเมื่อครั้งหาเสียงเขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าบรรดาชาวเม็กซิกันที่อพยพเข้าสู่สหรัฐฯล้วนแล้วแต่เป็นฆาตกรและพ่อค้ายาเสพติด ซึ่งการชูประเด็นหาเสียงของประธานาธบดีทรัมป์ในครั้งนั้น จนมีผลทำให้ชาวอเมริกันเปลี่ยนท่าทีต่อชาวลาติน!!! และเมื่อเกิดโรคโควิด19 ระบาดขี้น ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ออกมาอ้างว่าเชื้อไวรัสโควิด19 แพร่ระบาดมาจากประเทศจีน ทำให้คนอเมริกันและนักการเมืองอเมริกันต่างหลงเชื่อคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ และพากันจงเกลียดจงชังชาวเอเชียทั้งๆที่ยังไม่สามารถค้นหาสาเหตุที่แท้จริงได้แต่อย่างใด อีกทั้ง “รัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมพิโอ” ก็ได้ออกมากล่าวย้ำๆในทำนองเดียวกันกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม “ศาสตราจารย์ Rucker Johnson” แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ เบิอร์กเลย์ ได้ออกมาชี้แจงว่า จากการกระจายข่าวของสื่อต่างๆนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากการจุดประกายของประธานาธิบดีทรัมป์แทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” กลับมีท่าทีตรงกันข้ามกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างสิ้นเชิง โดยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2021 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ประธานาธิบดีไบเดนได้ออกมากล่าวถ้อยแถลงด้วยความห่วงใยว่า “เราไม่ควรนิ่งเฉยต่อกรณีที่ชาวเอเชียถูกทำร้าย โดยผู้ที่ทำร้ายชาวเอเชียไม่สมควรที่จะเป็นคนอเมริกัน และพวกที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้จะต้องหยุดการกระทำในทันที” นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังดำริว่าจะตั้งงบประมาณเยียวยาผู้ที่ถูกทำร้าย อีกทั้งกระทรวงยุติธรรมได้สั่งการให้หน่วยงานของเอฟบีไอกระตุ้นเจ้าหน้าที่เร่งฝึกฝนบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านการสืบสวนและให้ความช่วยเหลือแก่ชาวเอเชียที่ได้รับผลกระทบอย่างเร็วด่วน อนึ่งมาตรการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักการเมืองในสภาคองเกรส กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นน่าเสียดายที่ภาพพจน์ด้านบวกเรื่องราวดีงามหลายๆด้านของสหรัฐฯกลับถูกทำลายลงด้วยฝีมือและจิตใจอันแห้งแล้งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขาขาดทั้งคุณธรรม จริยธรรมและขาดคุณลักษณะของความเป็นผู้นำที่ดี ที่เขาได้พ่นพิษคายความร้ายกาจฝังหัวต่อคนที่มีจิตใจอ่อนไหว แถมยังสร้างทั้งความแตกแยกทั้งความเกลียดชังให้ฝังรากลึกลงไปในใจของคนอเมริกันมานานหลายปี และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะออกมากล่าวย้ำๆตลอดมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นต้นเหตุก็ตาม แต่ความเกลียดชังนี้คงจะไม่หมดไปง่ายๆ ผมจึงขอให้พี่น้องชาวไทยที่อยู่ในสหรัฐฯใช้ชีวิตอย่างมีสติรอบคอบ ระมัดระวัง พยายามหลบหลีกตัวท่านเองและครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยกันถ้วนหน้าละครับ