จากกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. นัดหมายชุมนุมระหว่างวันที่ 4-10 เม.ย.64 ในกิจกรรม "ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย" ปราศรัยขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ล่าสุด รศ.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Suvinai Pornavalai ระบุว่า... จะเข้าใจม็อบ444 ของตู่ จตุพร ให้ทะลุ เราควรย้อนไปทำความเข้าใจ ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปี 2552-2553 เสียก่อน เพราะนี่คือการชุมนุมใหญ่ที่ลุกฮือลงถนนของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ที่สำคัญมาก ม็อบคนเสื้อแดงปี 52-53 เป้าหมายชัดเจนมาก คือเริ่มจากใช้ "ไม้อ่อน" ก่อนคือ ความพยายามถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ชินวัตร (ซึ่งทำไม่ได้ในทางกฏหมายเพราะทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี) พอใช้ไม้อ่อนไม่เป็นผล ม็อบคนเสื้อแดงก็เปลี่ยนมาใช้ "ไม้แข็ง" ทันทีเพราะเตรียมการไว้แล้ว นั่นคือ ปล่อยข่าวเท็จเกี่ยวกับสถาบันฯ โจมตีใส่ร้ายว่าสถาบันฯไม่รักประชาชนที่มาขอความเป็นธรรมให้ทักษิณ ... เพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงโกรธแค้นต่อสถาบัน จากนั้นจึงเคลื่อนไหวโดยชู "วาทกรรมโค่นอำมาตย์" ตั้งเป้าถอดสถาบันฯลงมาเป็นสามัญชน การเคลื่อนไหวล้มเจ้าอย่างเป็นระบบและอย่างคึกคัก ในโลกออนไลน์ปรากฏชัดเจนในช่วงนี้ คู่ขนานไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนของม็อบคนเสื้อแดงในปี 52-53 แต่การจะโจมตีใส่ร้ายสถาบันได้สะดวกโดยไม่ผิดกฏหมาย จะต้องจัดการกฏหมายมาตรา 112 ให้ได้ก่อน การเคลื่อนไหวของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อแก้ไขมาตรา 112 จึงเกิดขึ้นในช่วงนั้น เพื่อหนุนช่วย "ขบวนการล้มเจ้า" ของคนเสื้อแดงในตอนนั้นนั่นเอง ในที่สุดการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในปี 2553 ได้บานปลายไปเป็น "สงครามกลางเมืองที่มีการใช้อาวุธสงคราม" เพราะการปรากฏตัวของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นชายชุดดำ "สงครามกลางเมือง" ครั้งนั้นมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากทั้งคนเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากชายชุดดำที่เป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย สิ่งนี้แสดงว่าขบวนการคนเสื้อแดงในปี 52-53 มีครบทั้ง มวลชนของตัวเอง พรรคการเมืองของตน และกลุ่มติดอาวุธในการบัญชาการของตัวเอง ... ที่เรียกกันว่า "ครบแก้วสามประการ" ม็อบคนเสื้อแดงปี 52-53 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ก็จริง แต่ปี 2554 รัฐบาลของน้องสาวทักษิณกลับชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายขายฝันประชานิยมสุดขั้ว ไม่ว่านโยบายจำนำข้าว นโยบายรถคันแรก ฯลฯ รัฐบาลของน้องสาวทักษิณมีเป้าหมายสูงสุดคือ การลบล้างคดีของทักษิณทั้งหมด ... โดยเอาการตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ปี 2553 มาอ้างความชอบธรรมเพื่อออกกฏหมายนิรโทษกรรมชนิดสุดซอย ทำให้ร่างพ.รบ.นิรโทษกรรมสุดซอยผ่านการโหวตในรัฐสภาจนได้ ขบวนการกปปส. (ม็อบนกหวีด) เกิดขึ้นทันทีเพื่อปกป้องกระบวนการยุติธรรมในปลายปี 2556 โดยที่ฝ่ายทักษิณก็ใช้คนเสื้อแดงหัวรุนแรงออกมาข่มขู่ ป่วนการชุมนุมของม็อบกปปส.ด้วยอาวุธปืนและระเบิด M79 จนมีผู้ชุมนุมกปปส. เสียชีวิตหลายคน ในที่สุดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนั้นจบลงด้วยการรัฐประหารของกองทัพในปี 2557 เพื่อผ่าทางตันและยับยั้ง "สงครามกลางเมือง" ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เป้าหมายอันดับรองลงมาของคณะรัฐประหาร คือการสลาย "ระบอบทักษิณ" อย่างเป็นขั้นตอนด้วย รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดและทรงพลังที่สุดของขั้วอำนาจฝั่งนี้ บทบาททางการเมืองของธนาธรและปิยบุตรโดดเด่นขึ้นมาแทนทักษิณในช่วงหลังรัฐประหารปี 2557 เมื่อทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ในเชิงอุดมการณ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยของทักษิณปรับเปลี่ยนแนวทางมาเป็น "สู้ไปกราบไป" และวางฐานะตัวเองเป็นแนวร่วมและกองหลังให้ขบวนการปฏิวัติล้มเจ้าที่นำโดยธนาธรและปิยบุตรแทน การที่พรรคอนาคตใหม่ของธนาธร-ปิยบุตรถูกยุบหลังจากมีบทบาทในรัฐสภาไม่ถึงปี เพราะสะดุดขาตัวเองทางข้อกฏหมาย ทำให้ธนาธรกับปิยบุตรกันมาเร่งเกมล้มเจ้าให้จบภายในสองปีแทนที่จะเป็นยี่สิบปีเหมือนที่วางไว้ในตอนแรกๆ เกมล้มเจ้าที่หลอกใช้พวกเด็ก ยุพวกเด็กออกมาเป็นแกนนำหุ่นเชิด ปลุกระดมมวลชนคนรุ่นใหม่ ... ดำเนินไปอย่างคึกคักในโลกออนไลน์โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ตั้งแต่ต้นปี 2563 ... จนกระทั่งเกิดม็อบเยาวชนปลดแอกที่ชูนโยบายปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อเป็นเป้าหมายหลักของการชุมนุม ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ม็อบเยาวชนปลดแอกก็ฝ่อลงอย่างรวดเร็วเพราะการนำแบบสุดโต่งและซ้ายไร้เดียงสาของพวกแกนนำเยาวชนหุ่นเชิด .... ตรงนี้แหละที่เกิด "ช่องว่าง" ให้ฝั่งทักษิณส่งคนของตนออกมาช่วงชิงการนำแทน ที่แล้วมา ตู่ จตุพรไม่ได้กลับใจหรอก เขาคือ "คางคกสารพัดพิษ" ที่ปรับตัวเก่งเท่านั้น และครั้งนี้มันชัดเจนเหลือเกินว่าเขารับงานมา ... มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นอันขาดที่อยู่ดีๆ ตู่ จตุพรก็เข้ามารับช่วงต่อจากม็อบ 3 นิ้วที่เพิ่งล่มสลายไปหมาดๆ ส่วนพวกคนสูงวัยที่เข้าร่วมม็อบ 444 ของจตุพร ก็ล้วนแต่เป็นพวกหิวแสงที่เลอะเลือนแล้วทั้งสิ้น สังคมไทยได้ล้ำหน้าและก้าวข้ามคนพวกนี้ไปแล้ว แต่คนพวกนี้ยังไม่สำเหนียกเท่านั้นเอง สุวินัย ภรณวลัย