วันที่ 4 เม.ย. 64 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า จริงๆ แล้ว ไม่มีความคิดเรื่องการเมืองอยู่ในสมอง และติดเรื่องเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่มีเวทีเดียวที่จะลงรับเลือกตั้งได้คือสนาม กทม. ซึ่งการตัดสินใจมีองค์ประกอบหลายอย่าง ถ้าจะบอกว่าคำตอบคือไม่มีแรงบันดาลใจ ก็จะถือว่าโกหก ยอมรับว่า มีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็น่าจะไปลงผู้ว่าฯ กทม. ส่วนเรื่องการจะสนับสนุนอย่างเป็นทางการหรือไม่อย่างไร คงต้องถาม พล.อ.ประวิตร เอง แต่การที่ท่านเป็นนักการเมืองจะมาพูดว่าช่วยก็จะเกิดความหมิ่นเหม่อีก ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้อะไรก็ตอบตกลงไป ซึ่งก็คิดว่าจะลงในนามอิสระแน่นอน ซึ่งเราร่างแผนไว้หมดแล้ว ว่าอยากจะมาช่วยแชร์ความรู้ประสบการณ์ต่างๆ ให้คน กทม.ว่า จะทำอะไรให้คน กทม.ดีขึ้น และเชื่อว่าคนที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็มีแนวคิดเช่นเดียวกันคือจะทำอย่างไรให้คน กทม.ดีขึ้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวคิดของตนที่จะทำให้กับคน กทม.นั้น คิดว่า คงขายกับหลายคนทั้งเรื่องปัญหาการจราจร ปัญหาขยะและปัญหาความปลอดภัย ขณะที่เรื่องความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐบาลด้วย ดังนั้น เราจะพูดถึงแค่ในส่วนของ กทม.เท่านั้นว่าจะทำอะไรให้บ้าง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเคยมีนายกฯ เป็นทั้งทหารตำรวจ และพลเรือนประชาชน จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคน กทม.เพียงขอให้แยกอาชีพกับตัวตนออกจากกัน “ในฐานะที่เป็นอดีตนายตำรวจเก่ารู้ถึงปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนถ้าได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวที่จะทำอย่างไรให้พี่น้องของเราดีขึ้น ให้บ้านหลังนี้ดีขึ้น ฉะนั้น หลักก็คือจะต้องมี 4 เสาหลัก โดยมีผมเป็นเสาเอก คือ 1. เรื่องความจิงใจ 2. ประสบการณ์ ความรู้ วิสัยทัศน์ที่จะนำมาใช้ในบ้านหลังนี้ 3. รับฟังปัญหาของทุกคนจากทุกองค์กร และสิ่งที่สำคัญที่สุด 4. การซื่อสัตย์ สุจริต และโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า ตนเพิ่งลงพื้นที่ 2-3 เดือน รู้อยู่แล้วว่ามาช้ากว่าคนอื่น และรู้ดีว่ามีข้อเสียเปรียบเยอะ บางคนมีฐานทางการเมืองอยู่แล้วขณะที่ตนไม่มีอะไรเลย เข้ามาตัวคนเดียว ดังนั้น จะต้องทำการบ้านหนักพอสมควร แต่โชคดีที่เคยอยู่ในพื้นที่ กทม.รู้ปัญหา นี่คือสิ่งที่ได้เปรียบจากอาชีพเดิม เมื่อถามว่า การลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในครั้งนี้ มีคนมองว่าเป็นนอมินีของพรรค พปชร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ขอถามว่าคนที่จะลงเป็นคู่แข่งกับตนจะบอกคน กทม.อย่างไรว่าไม่ใช่นอมินีของพรรคนั้นพรรคนี้ และในอนาคตตนอาจจะอยู่พรรคไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ขอลงผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระแน่นอน บางคนบอกว่าไม่กลัวที่จะถูกมองว่าเป็นนอมินี หรือเพราะรู้จักกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประวิตร แต่ตนอยากบอกว่าคนที่อยู่พรรคเดียวกันคนละพวกก็เยอะ พวกเดียวกันคนละพรรคก็มี แต่สำหรับตนมีแต่พรรคพวก พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว