เป็นที่รู้กันดีว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคของพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” แต่มอบให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่เป็นผู้กุมบังเหียน เปิดตัวนั่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง เพราะเห็นว่า พล.อ.ประวิตร เป็นพี่ใหญ่ผู้มากบารมี ทั้งในกองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ รวมถึงมีสายสัมพันธ์กับนักการเมือง ในทุกพรรคทุกคู่ทุกฝั่ง ที่สั่งสมมาตั้งแต่เป็นนายทหารหนุ่มจน เป็นผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งเข้ามาสู่การเมืองด้วยการเป็นรมว.กลาโหมในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จนนำมาซึ่ง การร่วมมือกันในการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และ สัมพันธ์แนบแน่น ยาวนานต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน พล.อ.ประวิตร จึงทำหน้าที่เป็นเสมือนแม่ทัพ ฝ่ายการเมืองขององคาพยพ 3 ป. ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องเล็ก 3 ป. ก็ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ในการแสดงบทบาทนำและสร้างคะแนนนิยม ส่วน “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รอง 3 ป. ก็เป็น รมว. มหาดไทย มายาวนาน 7 ปี จนคุมทุกหัวระแหงของกลไกมหาดไทย และท้องถิ่น โดยจะเห็นได้จากการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั้ง นายกเทศมนตรีและ เทศบาล พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เก้าอี้ จำนวนมาก แต่ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐที่เกิดจากการดูด อดีตส.ส.จากหลายพรรคหลายกลุ่ม หลายก๊วนเข้ามา จึงทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก ไม่สามารถกลืน เป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างที่ พล.อ.ประวิตรต้องการ ยังคงมีการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี และเก้าอี้ในคณะกรรมการบริหารพรรครวมถึงแย่งกันเป็นที่รักของพล.อ.ประวิตร โดยเฉพาะหลังเกิดความขัดแย้งระหว่าง “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคกับ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค รวมถึงกระแสข่าวในการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค โดยมีชื่อของ ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ รองหัวหน้าพรรค ที่ทำหน้าที่เสมือนเลขาธิการพรรค มาตลอด และเป็น ลูกเลิฟของ พล.อ.ประวิตร เป็นเต็งหนึ่ง แต่ดูเหมือนมีสัญญาสุภาพบุรุษกันไว้ว่าหลังจาก อนุชาเป็น เลขาธิการพรรค แล้วจะให้ สันติ พร้อมพัฒน์ ผู้อำนวยการพรรคมานั่งเป็นเลขาธิการพรรค 6 เดือนก่อน จากนั้นผู้กองธรรมนัส จึงค่อยนั่งเป็นเลขาธิการพรรค อย่างเต็มตัว แต่ก็จะส่งผลให้กลุ่มสามมิตรไม่แฮปปี้จึงมีกระแสข่าวการแยกวงการเตรียมออกไปตั้งพรรคใหม่ของสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร รวมถึงปัญหาภายในกรณีกลุ่ม 6 สส.ดาวฤกษ์ ที่นำโดย “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี จากกรณีงดออกเสียงไม่โหวตให้ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเด็นระหว่างพรร จน พปชร.ต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีผลให้ทั้ง6 สส.ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 3 เดือนทั้ง วิปรัฐบาล และกรรมาธิการต่างๆ รวมถึงการส่งจดหมายขอโทษ ศักดิ์สยาม แต่ดูเหมือน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค จะยังติดใจอยู่ เพราะไม่ได้มีการขอโทษ ออกสื่อ หรือแสดงออกว่า ขอโทษอย่างจริงจัง จนมีกระแสข่าวว่ามาดามเดียร์ ก็พร้อมที่จะแยกตัวแยกวง ออกไปทั้งพรรคการเมือง เพราะมีความพร้อมในทุกๆด้านอยู่แล้ว ด้วยสถานการณ์ภายในพรรคพลังประชารัฐที่ไม่แน่นอน จนทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องเอ่ยปากว่าในพรรค ผมไม่ได้ใหญ่คนเดียว นักการเมืองไม่ใช่ทหาร สั่งไม่ได้ ผมต้องฟังกรรมการบริหารพรรค เหล่านี้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่น้อง 3 ป. ต้องเตรียมตั้ง พรรคสำรองไว้เพื่อเพิ่มพันธมิตร และรวบรวมสส.เพื่อมาร่วมกันสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เมื่อต้องมีการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งในสมัยหน้าที่ ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาทุกทีท่ามกลางกระแสการยุบสภา ชื่อของพรรค รวมไทยสร้างชาติ และพรรคเศรษฐกิจไทย จึงถูกจับตามองอย่างยิ่ง ในฐานะพรรคการเมืองใหม่ ที่ตั้งขึ้นมารองรับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ เพราะพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นแม้จะมีชื่อของ ว่าที่ ร.ท.ไกรภพ นครชัยกุล เป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็เป็นเสมือนนอมินี เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังในการจัดตั้งพรรคจริงๆ ก็คือ “แรมโบ้” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่เปลี่ยนชื่อเป็น “เสกสกล” แล้วนั่นเอง เสกสกล ทำงานใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ และทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด แม้จะเคยเป็นคนเสื้อแดงแต่ก็กลับใจย้ายพรรค ย้ายกลุ่ม มาอยู่พรรคพลังประชารัฐและได้ทำงานใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์จนกลายเป็นมือทำงานในการรบกับฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าในที่สุดแล้วดอกเตอร์แรมโบ้ เสกสกล จะเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินี้เองหรือไม่ แต่การใช้ชื่อมอตโต้ “รวมไทยสร้างชาติ” ของพล.อ.ประยุทธ์มาตั้งชื่อพรรคนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้คัดค้านใดๆ แต่ก็เป็นการสะท้อนถึง จุดยืนของพรรค และทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่าในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ ในนามพรรค รวมไทยสร้างชาติก็เป็นได้ เพื่อที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากสส. จะได้กลายเป็นนายกฯประชาธิปไตยเต็มใบ จากที่เคยถูกกล่าวหามาว่ามาเป็นนายกฯเพราะ รัฐประหาร แต่ในทางปฏิบัติแล้วพล.อ.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นที่จะต้องลงสมัครบัญชีรายชื่อในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นพรรคเล็ก แต่หากจะลงสมัครก็สามารถเป็นสส.บัญชีรายชื่อหมายเลข1 ของพรรคพลังประชารัฐได้ เพราะถึงอย่างไร พรรคพลังประชารัฐก็เป็นพรรคถาวรคงไม่แตกสลายแม้จะมีบางกลุ่มแยกวงแยกตัวออกไปในอนาคต ก็ตาม อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร ก็คงจะไม่ ชิงเก้าอี้ นายกรัฐมนตรีกับพล.อ.ประยุทธ์น้องรักแน่เพราะที่ทำมาทั้งหมดก็เพื่อสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีให้ยาวนานที่สุดและเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง แต่ในเมื่อพรรคพลังประชารัฐมีปัญหาภายในและอาจจะไม่ได้มีจำนวน สส.มากเท่าเดิม หากมีกลุ่มต่างๆไม่พอใจการต่อรองผลประโยชน์ต่างๆจะแยกตัวออกไป ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งพรรคเพิ่มเติมเพื่อดูด อดีตสส. หรือส.ส.จากพรรคต่างๆโดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยให้ย้ายมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยังคงใช้รัฐธรรมนูญ 2560 อยู่ที่พรรคการเมืองขนาดเล็กจะมีโอกาสได้จำนวนส.ส. มากกว่าพรรคใหญ่ โดยเฉพาะพรรค “เศรษฐกิจไทย” ที่มี “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ก่อตั้ง แต่ยังไม่มีการเปิดตัวจนกว่าจะเกษียณราชการตุลาคมนี้ และจะมีการเปลี่ยนชื่อจากพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นชื่ออื่นที่มีความเหมาะสมมากกว่าแต่อยู่ระหว่างการคิดชื่อพรรค กล่าวกันว่าพรรคนี้จะเป็นที่รวมของสส.พรรคเพื่อไทย พรรคฝ่ายค้านที่จะย้ายมาอยู่เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่ต้องย้ายข้ามไปอยู่พรรคพลังประชารัฐให้ถูกมองว่าถูกดูด แต่ทว่า พรรคเศรษฐกิจไทยนี้ถูกมองว่าเชื่อมโยงกับ พล.อ.อนุพงษ์เนื่องจากมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับนายฉัตรชัย อย่างมาก และเป็นมือทำงานของพล.อ.อนุพงษ์มายาวนานตลอด 7 ปี ตั้งแต่ยุค คสช. แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าฉัตรชัยจะเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยด้วยตนเอง หรือจะเป็นเลขาธิการพรรคเท่านั้น โดยจะมีหัวหน้าพรรครับเชิญที่จะมีการเปิดตัวในภายหลัง จนเกิดกระแสข่าวหรือว่าพี่น้อง อีก 2 ป. คือ ป.ประยุทธ์ และ ป.ป๊อก จะเป็นหัวหน้าพรรค รวมไทยสร้างชาติและพรรคเศรษฐกิจไทย แต่คงจะเป็นการปล่อยข่าวลือเรียกกระแสเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.อนุพงษ์ ไม่จำเป็นที่จะต้องลงมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ชอบที่จะเปิดตัวเปิดหน้าในการเล่นการเมือง แต่จะเป็นที่ปรึกษาเป็นฝ่ายบุ๋น อยู่เบื้องหลังมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคเศรษฐกิจไทย ก็คือพรรค ของพี่น้อง 3 ป.นั่นเอง