“วิษณุ” ย้ำคำ“บิ๊กตู่”อย่าให้ “พ.ร.บ.ประชามติ” พลาดอีก ยันเดินหน้าแก้รธน. ด้าน “เทพไท” แนะรบ.เลือก3 ทางออก “พ.ร.บ.ประชามติ” ส่วน“วัชระ”จี้“กรมสรรพากร” ตรวจสอบภาษีแกนนำคณะราษฎร เปิดรับบริจาคเงินสนับสนุนชุมนุม ขณะที่ “สิระ” ถาม “ตู่-จตุพร” นัดชุมนุม 4 เม.ย.เป็นโครงการ“สู้แล้วรวย ภาค 2” หรือไม่ เตือนเวรกรรมมีจริง อย่าทำประเทศเสียหายอีก ส่วน“อัยการ”สั่งฟ้อง“เอกชัย-พวก” คดีขวางขบวนเสด็จฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 31 มี.ค.64 นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กำชับให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพิจารณาร่างกฎหมายในสภา ว่า นายกฯ หมายถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ห่วงแค่จะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะถึงอย่างไรก็ผ่านอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือถ้าผ่านแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามร่างที่รัฐบาลเสนอไว้ ซึ่งได้พิจารณามาโดยรอบคอบ และหากโหวตแพ้เพียง 4-5 คะแนน ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าสภาไม่พร้อม ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ได้กล่าวย้ำในที่ประชุมครม.ถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันเดินหน้าแก้ไขใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า นายกฯ พูดในที่ประชุมครม.ว่ารัฐบาลเสนอให้เดินหน้าต่อไป ขอให้ไปคิดแนวทางกันให้ตกผลึก และให้นำกลับมาบอกให้ทราบ เมื่อถามว่า หากตกผลึกแล้ว รัฐบาลไม่ขัดข้องที่จะเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่กล้าแปลเป็นอย่างอื่นเพราะนายกฯพูดเพียงเท่านี้ พวกคุณก็จ้องกันอยู่เรื่อย ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 7-8เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติที่กำลังพิจารณาค้างคาอยู่ ว่า หลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ในมาตรา9 และมีการลงมติแพ้โหวตให้แก่คณะกรรมาธิการวิสา มัญเสียงข้างน้อย ทำให้รัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาเสียหน้าและไม่สามารถที่จะเอาคืนได้ แม้จะพยายามที่จะเสนอทบทวนให้ลงคะแนนใหม่ ในมาตรา9แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล จึงจำเป็นให้การพิจารณา พ.ร.บ. ประชามติต้องนำเดินหน้าต่อไป สำหรับทางออกหรือจุดจบของพ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้น่าจะมีอยู่ 3 แนวทางคือ 1.เมื่อพิจารณาพ.ร.บ.ประ ชามติ ในวาระ2เสร็จสิ้นแล้วก็จะลงมติคว่ำร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ในวาระ3 ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะพ.ร.บ. ประชามติ เป็นกฎหมายสำคัญ ที่เสนอโดยรัฐบาล ถ้ากฎหมายฉบับนี้ถูกคว่ำไป รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยการยุบสภาหรือลาออกเท่านั้น 2.เมื่อที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ และมีความเป็นไปได้สูงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ จะทำให้ พ.ร.บ.ประชามติตกไป จะมีผลกระทบต่อการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องล่าช้าออกไป 3.มีมติผ่านวาระ3ไปก่อน เมื่อมีการประกาศใช้พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับนี้แล้วรัฐบาลก็จะรีบเสนอ พ.ร.บ.แก้ไขในทันที ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัย ซึ่งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างกว้างขวางแน่นอนดังนั้นไม่ว่าแนวทางแก้ปัญหาของ พรบ.ประชามติ ฉบับนี้จะออกมาทางไหนก็ตาม ความเสียหายทางการเมือง ก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลทุกแนวทาง ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะตัดสินใจเลือกแนวทางไหน ที่สร้างความเสียหายทางการเมืองให้กับรัฐบาลน้อยที่สุด วันเดียวกัน นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อขอให้อธิบดีฯสรรพากรมีหนังสือสั่งการให้ข้าราชการตรวจสอบภาษีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร เช่น นายปกรณ์ พรชีวางกูร และน.ส.อินทิรา เจริญปุระ เป็นต้น ซึ่งเปิดรับบริจาคเงินโดยอ้างว่าเป็นการสนับสนุนการชุมนุม ว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ด้าน นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายและยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. นัดชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ว่า ให้ไปถามจตุพรว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองเสียหายขนาดไหน มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากน้อยเพียงใด ยังจะนัดชุมนุมให้ประเทศชาติเสียหายอีกหรือ ขอให้นึกถึงประเทศชาติบ้าง นี่เป็นโครงการสู้แล้วรวย ภาค 2 หรือไม่ เพราะที่ผ่านการชุมนุม แต่ละครั้งมีการระดมทุนจำนวนมาก และผู้เข้าร่วมการชุมนุมบางคนถูกสรรพากรตรวจสอบภาษี ต้องชำระภาษีเงินได้ถึง 500 ล้านบาท ขอให้นายจตุพรนึกถึงประเทศชาติและตอบแทนคุณแผ่นดินและขอให้ประกอบอาชีพสุจริตบ้าง เพราะเวรกรรมมีจริง” ส่วนที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายเอกชัย หงส์กังวาน ,นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ,นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth) ,นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ ผู้ต้องหาที่1-5 คดีประทุษร้ายพระราชินี เดินทางมารายงานตัว เพื่อฟังการสั่งคดีกับพนักงานอัยการคดีอาญา 10 กรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ ที่กลุ่มผู้ต้องหาชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายเอกชัย กล่าวว่า คดีนี้ก่อนหน้านี้ในชั้นฝากขังของพนักงานสอบสวน ศาลเคยไม่ให้ประกันตัวเพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาศาลอนุญาตให้ปล่อยตัว วันนี้อัยการเตรียมส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งเวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ง่าย แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี ส่วนประเด็นที่เคยร้องขอให้อัยการสอบพยานเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ ตนไม่ได้มาขอความเมตตาจากศาล แต่ต้องการความเป็นธรรม ด้าน น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความผู้ต้องหา กล่าวถึงเรื่องการปล่อยชั่วคราว ว่า ตามหลักการตามกฏหมายผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี จะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อพนักงานสอบสวน ถ้าเอาข้อเท็จจริงมาประกอบกับข้อกฎหมาย ผู้ต้องหาทั้ง 5 จะต้องได้รับการปล่อยชั่วคราวร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาได้เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 เเสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจากศาล จากนั้นในเวลา 11.00 น. พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา10 ได้นำตัวผู้ต้องหา และสำนวนไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา